Petcharavejhospital.com
โปรโมชั่นสุขภาพ
คลายความกังวลใจ เรื่องค่าใช้จ่ายส่วนเกิน

เพิ่มเติม

เพิ่มเติม
บุคลากรแพทย์
นพ.ชัยสิทธิ์ สุริยานุสรณ์
ดูประวัติแพทย์
พญ.แพร ทรัพย์สำรวย
ดูประวัติแพทย์
นพ.ภูวสิษฏ์ ตรีจักรสังข์
ดูประวัติแพทย์
นพ.อุเทน บุญอรณะ
ดูประวัติแพทย์

เพิ่มเติม
บทความสุขภาพ
โรคมะเร็งตับอ่อน โรคที่พบไม่บ่อยแต่เสี่ยงโอกาสเสียชีวิตสูง
  ตับอ่อนเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อร่างกายของเราเป็นอย่างมาก เพราะมีหน้าที่ในการช่วยย่อยและดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ เพื่อให้ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ แต่ตับอ่อนเป็นอีกหนึ่งอวัยวะที่สามารถเกิดมะเร็งได้เช่นกัน ถึงจะพบได้ไม่บ่อยนัก แต่หากไม่รู้ตัวและปล่อยทิ้งไว้ อาจมีโอกาสเสียชีวิตสูงเช่นกัน     โรคมะเร็งตับอ่อนเกิดจากสาเหตุใด ?     กรรมพันธุ์ เพราะหากมีบุคคลภายในครอบครัวมีประวัติการเป็นมะเร็งตับอ่อน อาจมีโอกาส 5 - 10 เปอร์เซ็นต์ที่จะถ่ายทอดไปสู่บุตรได้    อายุที่เพิ่มมากขึ้น โดยส่วนมากมะเร็งตับอ่อนจะถูกพบในผู้สูงอายุ         โรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวานและโรคอ้วน    ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง และซีสต์ในตับอ่อนบางประเภท    การสูบบุหรี่      อาการของโรคมะเร็งตับอ่อน   เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย   ตาและตัวเหลืองจากการอุดตันของท่อน้ำดี         มีอาการแน่นท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง   ปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่และบริเวณหลัง   เมื่อผู้ป่วยลองคลำท้องดูอาจจะพบก้อนได้   ตับและถุงน้ำดีโต   อุจจาระมีสีซีด ถ่ายเหลว    ปัสสาวะมีสีเข้ม      ระยะของโรคมะเร็งตับอ่อน   โรคมะเร็งตับอ่อนสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้   ระยะที่ 1    พบก้อนมะเร็งลุกลามอยู่ภายในตับอ่อน และอาจเริ่มลุกลามสู่บริเวณลำไส้เล็ก   ระยะที่ 2    มะเร็งมีการลุกลามออกจากบริเวณตับอ่อน เข้าสู่กระเพาะอาหาร ม้าม และลำไส้ใหญ่   ระยะที่ 3    พบมะเร็งมีการกระจายไปสู่ต่อมน้ำเหลือง   ระยะที่ 4    มะเร็งเริ่มลุกลามเข้าสู่กระแสเลือด แล้วแพร่กระจายไปที่ตับ      ปัจจัยเสี่ยงโรคมะเร็งตับอ่อน   พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง   โรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง   การบริโภคเนื้อแดง ไขมันอิ่มตัว หรืออาหารแปรรูปมากเกินไป         ผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป   มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมหรือยีนที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งตับอ่อน     การวินิจฉัยโรคมะเร็งตับอ่อน    การตรวจเลือด    การตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ   การส่องกล้องตรวจบริเวณตับอ่อนและท่อทางเดินน้ำดี   การส่องกล้องระบบทางเดินอาหารด้วยคลื่นความถี่สูง   การฉีดรังสีร่วมกับการใช้ CT-SCAN   การ CT-SCAN แบบ Helical CT     โรคมะเร็งตับอ่อน มีวิธีการรักษาอย่างไร ?    วิธีการรักษาโรคมะเร็งตับอ่อน สามารถแบ่งออกได้ 2 วิธี ได้แก่   กลุ่มผู้ป่วยที่สามารถทำการผ่าตัดได้   วิธีนี้จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีสภาพร่างกายที่แข็งแรง และมะเร็งยังไม่มีการลุกลามมาก เมื่อแพทย์ทำการผ่าตัด จากนั้นจะมีการนำชิ้นเนื้อไปตรวจ ถ้าหากพบข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ อาจจะพิจารณาวิธีการรักษาเพิ่มเติมโดยการใช้เคมีบำบัด และรังสีรักษา   กลุ่มผู้ป่วยที่ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้   หากพบว่าผู้ป่วยมีเชื้อมะเร็งลุกลามไปมากแล้ว แต่ร่างกายยังคงแข็งแรงอยู่ อาจจะใช้วิธีเคมีบำบัดร่วมกับการใช้รังสีรักษา แต่หากเป็นผู้ป่วยในกลุ่มที่ร่างกายไม่แข็งแรง แพทย์อาจพิจารณาวิธีการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ      การป้องกันโรคมะเร็งตับอ่อน   การรักษาโรคนี้ อาจยังไม่มีวิธีการป้องกันที่ชัดเจน แต่ท่านสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งชนิดนี้ได้ด้วยการดูแลสุขภาพของตนเอง และอาจมีการปรับพฤติกรรมควบคู่ ดังนี้   การงดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์    การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน         รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยให้หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ติดมัน และอาหารประเภทที่มีไขมันสูง   การออกกำลังกายสม่ำเสมอ      โรคมะเร็งตับอ่อน ถึงจะเป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยนัก แต่ถ้าหากเกิดขึ้นกับร่างกายของเราโดยไม่รู้ตัว แล้วพบว่าอยู่ในระยะสุดท้าย อาจทำให้เสียชีวิตได้ เพราะฉะนั้นควรสังเกตและดูแลร่างกายของตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้ขึ้น   เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง   โปรแกรมตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบ และคัดกรองโรคตับ   ตับอ่อนอักเสบ โรคที่เกิดจากนิ่วในถุงน้ำดี
อ่านเพิ่มเติม
โรคกระเพาะอาหาร ความทรมานที่เกิดจากการติดเชื้อในกระเพาะ
  โรคกระเพาะอาหาร (Gastritis) เกิดจากการที่เยื่อบุกระเพาะอาหารติดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องแบบเรื้อรัง สามารถรักษาได้ด้วยการดูแลตนเอง เพื่อไม่ให้โรคมีอาการรุนแรงถึงขั้นเป็นโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร โดยโรคนี้สามารถวินิจฉัยได้แม่นยำที่สุดด้วยการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น     โรคกระเพาะอาหารเกิดจากสาเหตุใด ?         เกิดจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ชอบทานอาหารรสจัด ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ การอดหรือทานอาหารไม่เป็นเวลา เป็นต้น   เกิดจากการทานยาบางประเภท เช่น แอสไพริน   เกิดจากการติดเชื้อเอชไพโลไร ทำให้มีการอักเสบของกระเพาะอาหารเกิดขึ้น   มีความเครียด หรืออยู่ในสภาวะวิตกกังวล     อาการของโรคกระเพาะอาหาร   มีอาการปวดท้องจุกแน่นเรื้อรัง แสบร้อนบริเวณกลางท้องหรือท้องส่วนบน    ท้องอืด   มีอาการปวดเป็นระยะ ในบางรายอาจจะมีอาการหลังจากหลับแล้ว   คลื่นไส้ อาเจียน   เรอเหม็นเปรี้ยว   ถ้าผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบเข้าพบแพทย์โดยด่วน   ตาเหลือง         มีไข้สูงเรื้อรังตลอดเวลา   จากมีอาการแค่ปวดท้องแบบแสบ ๆ กลายเป็นปวดเกร็ง ปวดบีบ และปวดแบบรุนแรงขึ้น    น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ในระยะ 1 - 2 เดือน    เกิดภาวะโลหิตจาง เนื่องจากมีเลือดออกภายในกระเพาะอาหาร     ภาวะแทรกซ้อนของโรคกระเพาะอาหาร   อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นสีดำ หน้ามืด   เมื่อมีอาการปวดท้องส่วนบนอย่างรุนแรงแบบเฉียบพลัน หน้าท้องแข็ง และเมื่อกดจะรู้สึกเจ็บมาก อาจเป็นสัญญาณของกระเพาะอาหารทะลุ   กระเพาะอาหารอุดตัน โดยมักมีอาการ เช่น น้ำหนักลดลง อาเจียน เบื่ออาหาร และอิ่มเร็ว เป็นต้น    โดยปกติแล้ว โรคกระเพาะอาหารทั่วไปมักจะไม่ส่งผลถึงขั้นทำให้มีเลือดออกในกระเพาะ แต่จะพบมากในผู้ป่วยที่เป็นแผลในกระเพาะอาหารเรื้อรัง     โรคกระเพาะอาหารอันตรายแค่ไหน ?   นอกจากอาการปวดท้องที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้อีกด้วย หากเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร หรือชื่อเต็ม เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) บริเวณเยื่อบุของกระเพาะอาหารซึ่งสามารถติดได้จากคนสู่คนด้วยการทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อชนิดนี้ เป็นผลให้เยื่อบุกระเพาะเกิดอาการอักเสบจนกลายเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต     การวินิจฉัยโรคกระเพาะอาหาร    การส่องกล้องทางเดินอาหาร เพื่อตรวจดูกระเพาะและหาแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร จากนั้นอาจมีการตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจหาเชื้อ   บางกรณีแพทย์อาจพิจารณาใช้วิธีการทำอัลตราซาวด์ และการเอกซเรย์โดยคอมพิวเตอร์ ในผู้ป่วยที่เกิดอาการปวดท้องอย่างเฉียบพลัน    หากผู้ป่วยไม่สามารถทำการส่องกล้องได้ อาจใช้วิธีการตรวจเลือดกับBreath Test      การรักษาโรคกระเพาะอาหาร   ส่วนหนึ่ง คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรค ร่วมกับการรักษาตามสาเหตุที่วินิจฉัยพบ ได้แก่         ปรับเปลี่ยนการทานอาหารให้ตรงเวลา ไม่ทานอาหารรสจัดหรือดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะเป็นการกระตุ้นให้ปวดท้อง   รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง หากมีสาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร ผู้ป่วยจะได้รับยาลดกรด กับยาปฏิชีวนะ   หากการปรับพฤติกรรมไม่ดีขึ้น อาจต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติมเช่น การส่องกล้องทางเดินอาหารเพื่อรักษาตามสาเหตุ เป็นต้น    หากมีแผล สำไส้ทะลุ อุดตัน และมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร อาจใช้วิธีการผ่าตัดเพื่อรักษากระเพาะอาหาร      โรคกระเพาะ มีวิธีการป้องกันอย่างไร ?   รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย และให้หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด เปรี้ยวจัด และอาหารมัน   หลีกเลี่ยงหรืองดการใช้ยาแก้ปวด แอสไพริน หรือยาแก้โรคกระดูกและข้อทุกชนิด   หากมีอาการจุกแน่นหลังรับประทานอาหาร ให้ปรับลดการรับประทานอาหาร โดยให้รับประทานน้อยลง แต่รับประทานให้บ่อยมื้อขึ้น และในแต่ละมื้อไม่ควรอิ่มมากจนเกินไป         หากมีความเครียด ควรหากิจกรรมอื่นทำเพื่อผ่อนคลาย   งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์    หากมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ถ่ายเป็นสีดำ น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ กลืนลำบาก เป็นต้น ควรเข้าพบแพทย์โดยด่วน      โรคกระเพาะอาหาร อาจจะไม่ใช่โรคที่อันตราย แต่ถ้าหากปล่อยเอาไว้จนเกิดการเรื้อรัง และมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง อาจส่งผลให้เสียชีวิตได้ ทางที่ดีหากมีอาการควรเข้าพบแพทย์เพื่อรักษา และรับคำแนะนำในการป้องกันตนเองต่อไป   เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง   โปรแกรมส่องกล้องโรคระบบทางเดินอาหารและลำไส้   อาการปวดท้องแต่ละแบบบ่งบอกอะไรบ้าง   แผลในกระเพาะอาหาร แม้หายแล้วก็กลับมาเป็นซ้ำได้
อ่านเพิ่มเติม
24
ชม. อุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน
58
ONLINE : IPD
1500
รับผู้ป่วยเฉลี่ย : วัน
46
ปี ที่ดูแล