งูสวัด ภัยแฝงที่อันตรายถึงชีวิต
งูสวัด ภัยแฝงที่อันตรายถึงชีวิต

โรคงูสวัด เป็นโรคที่เราได้ยินบ่อยครั้ง และมักมีความเชื่อเกี่ยวกับโรคนี้ว่าอันตราย เพราะหากมีตุ่มลุกลามจนขึ้นพันรอบเอว หรือรอบร่างกายแล้วจะทำให้เสียชีวิตทันที คนจำนวนไม่น้อยจึงมีความรู้สึกกลัวโรคนี้จนถึงขั้นเมื่อเป็นแล้วต้องหันไปพึ่งการรักษาทางไสยศาสตร์ แต่สิ่งที่เรารู้ และเคยได้ยินมานั้นอาจเป็นความเชื่อที่ผิด ดังนั้นเรามารู้จักโรคนี้กันให้มากขึ้น รวมถึงวิธีป้องกันโรคนี้กัน

 

โรคงูสวัดคืออะไร

 

โรคงูสวัด (herpes zoster) เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อไวรัส Varicella Zoster Virus (VZV) ซึ่งเป็นเชื้อตัวเดียวกันกับการทำให้เกิดโรคอีสุกอีใสนั่นเอง เมื่อเป็นอีสุกอีใสแต่ได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว เชื้อไวรัสนี้จะยังคงอยู่ในร่างกาย โดยแฝงกายอยู่ในปมประสาท เมื่อภูมิต้านทานของเราลดลงเชื้อไวรัสที่ซ่อนอยู่ในร่างกายจะเพิ่มจำนวน และออกมาทางเส้นประสาท โดยจะแสดงออกมาทางผื่น หรือตุ่มน้ำใส ซึ่งจะเรียงตัวเป็นแนวยาวตามเส้นประสาทคล้ายกับงู โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย แต่มักจะเกิดกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน

 

อาการของโรคงูสวัด

 

อาการของโรคงูสวัดสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้

 

  • ระยะที่ 1 เป็นช่วงที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำลง เชื้อไวรัสจึงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ในเส้นประสาท ส่งผลให้ผู้ป่วยเริ่มมีอาการปวดแสบปวดร้อน โดยหาสาเหตุไม่ได้
     
  • ระยะที่ 2 เมื่อมีอาการแสบร้อนโดยหาสาเหตุไม่ได้ประมาณ 2-3 วัน จะเริ่มปรากฏผื่นแดงขึ้น และกลายเป็นตุ่มน้ำใสเรียงตัวกันเป็นแนวยาวตามเส้นประสาทของร่างกาย เช่น ตามความยาวของแขน รอบเอว รอบหลัง ใบหน้า ต้นขา เป็นต้น ต่อมาตุ่มน้ำใสนั้นจะแตกออกเป็นแผล จากนั้นจะตกสะเก็ด แล้วจะหายได้เองภายใน 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ และอาจมีไข้ร่วมด้วย
     
  • ระยะที่ 3 แม้แผลจะหายดีแล้ว แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะยังคงมีอาการปวดแสบปวดร้อนอยู่ตามรอยแนวของแผลที่เกิดขึ้น

 

นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจเกิดอาการปวดประสาทหลังเป็นโรคงูสวัด ซึ่งจะปวดต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลามากกว่า 3 เดือนหลังจากที่ตุ่มใสเริ่มเกิดขึ้น

 

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดงูสวัด

 

  • เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน
     
  • อายุ 60 ปีขึ้นไป
     
  • เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
     
  • คนที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยโรคเอดส์ เป็นต้น

 

งูสวัดกับอีสุกอีใสแตกต่างกันอย่างไร

 

แม้โรคงูสวัดกับอีสุกอีใสจะเกิดจากเชื้อไวรัสตัวเดียวกัน แต่อาการที่แสดงออกมานั้นจะแตกต่างกัน คือ โรคงูสวัดจะเกิดตุ่มนูนที่เรียงเป็นกลุ่ม หรือเป็นแถวยาวตามแนวของเส้นประสาท และจะไม่กระจายทั่วตัวเหมือนตุ่มของอีสุกอีใส

 

พันรอบเอว หรือรอบตัวแล้วจะเสียชีวิตจริงหรือไม่

 

มีความเชื่อมาตั้งแต่อดีตว่าหากเป็นงูสวัด แล้วผื่นที่ขึ้นนั้นพันรอบเอว หรือรอบตัวจะทำให้เสียชีวิตทันที ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะแท้ที่จริงแล้วแนวเส้นประสาทของคนเราจะสิ้นสุดที่กึ่งกลางลำตัว จึงพบว่าสามารถเป็นงูสวัดได้เพียงครึ่งหนึ่งของลำตัวเท่านั้น

แต่ความเชื่อที่เป็นเช่นนั้นอาจเป็นเพราะในสมัยโบราณยังไม่มีการคิดค้นยาฆ่าเชื้อไวรัสทำให้ผู้ที่เป็นงูสวัด หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ที่เป็นโรคมะเร็ง โรค HIV เกิดภาวะติดเชื้อ ซึ่งเชื้องูสวัดจะลุกลามไปยังเส้นประสาททั่วร่างกายทำให้มีความเสี่ยงในการเสียชีวิตได้ง่าย แต่การเสียชีวิตส่วนใหญ่จะเกิดจากอวัยวะภายในล้มเหลว ไม่ได้เสียชีวิตจากโรคงูสวัด

 

โรคงูสวัด

 

งูสวัดสามารถรักษาได้ด้วยการเป่ายาจริงหรือ

 

นอกจากความเชื่อเรื่องเป็นผื่นขึ้นพันรอบเอว หรือรอบตัวจะเสียชีวิตแล้ว ยังมีความเชื่อทางไสยศาสตร์ว่าหากเป็นโรคงูสวัดจะต้องรักษาโดยการให้หมอผีเป่ายาใส่ ซึ่งการเป่ายาส่วนใหญ่จะเป็นการพ่นน้ำมนต์ลงบนผิวหนังที่เป็นแผล แต่การรักษาโรคดังกล่าวจะทำให้เกิดการติดเชื้อจากแบคทีเรีย เพราะผิวหนังบริเวณที่เป็นงูสวัดนั้นจะมีรอยปริแยกทำให้ติดเชื้อได้ง่ายกว่าปกติ และอาจทำให้ติดเชื้อจนเป็นหนอง แผลหายช้ากว่าเดิมอีกด้วย

 

การรักษาโรคงูสวัดที่ถูกต้อง

 

  • รักษาตามอาการ เช่น หากมีอาการปวดแพทย์จะให้ยาบรรเทาอาการปวด ถ้าตุ่มติดเชื้อจนกลายเป็นหนองแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ เป็นต้น
     
  • ให้ยาต้านไวรัส หากผู้ป่วยมีอาการปวดรุนแรงตั้งแต่แรกที่มีผื่นขึ้น แพทย์ให้รับประทานยาต้านไวรัส เพื่อลดความรุนแรง และช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น
     
  • ให้ยาต้านไวรัสชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ เป็นวิธีรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เป็นโรคเอดส์ เป็นต้น
     

สำหรับผู้ป่วยที่เป็นงูสวัดขึ้นที่ตา ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายต้องได้รับการรักษาร่วมกับจักษุแพทย์ ซึ่งแพทย์จะให้ยาต้านไวรัสชนิดทาน และยาหยอดตาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางตา

 

การป้องกันงูสวัด

 

  • ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพออยู่เสมอเพื่อไม่ให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
     
  • ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดจำนวน 1 เข็มเพื่อลดโอกาสการเกิดโรคงูสวัด และลดความรุนแรงของโรคได้
     
  • หากยังไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อนควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเชื้อ หรือไม่ควรสัมผัสแผลของผู้ป่วยโรคงูสวัด

 

โรคงูสวัดเป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่ในปัจจุบันเราสามารถป้องกันโรคนี้ง่าย ๆ ด้วยการฉีดวัคซีนที่จะช่วยให้เราห่างไกลจากโรคร้ายนี้ได้