โรคสมาธิสั้น
โรคสมาธิสั้น ไม่ใช่เรื่องแย่แค่พ่อแม่ต้องเข้าใจ

 

โรคสมาธิสั้น หรือ ADHD (Attention Deficit Hyperactivity Disorder) คือ หนึ่งในปัญหาด้านพฤติกรรมที่สามารถพบได้บ่อยในเด็ก ซึ่งในบางกรณีอาจส่งผลต่อเนื่องไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ หากผู้ป่วยไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม โรคนี้อาจไม่ได้หมายถึงแค่เป็น “เด็กซน” แต่อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับระบบประสาทและสมอง ที่ทำให้เกิดปัญหาเรื่องสมาธิในการจดจ่อ หรือการควบคุมตนเอง

 

 

สาเหตุของการเกิดโรคสมาธิสั้น 

 

โรคสมาธิสั้นสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย โดยจากการอ้างอิงของแพทย์พบว่าเด็กที่เป็นโรคนี้ มักเกิดจากภาวะความผิดปกติในการทำงานของสมองบางส่วน โดยเฉพาะบริเวณสมองส่วนหน้าที่ควบคุมความคิด และพฤติกรรม 

 

โดยมีปัจจัยอื่นที่อาจเพิ่มความเสี่ยง ดังนี้

 

  • พันธุกรรม ผู้ป่วยที่มีพ่อแม่ ญาติพี่น้องเป็นโรคสมาธิสั้น อาจเป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ขึ้นได้ 

 

  • ความผิดปกติระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น มารดาที่สูบบุหรี่, ดื่มแอลกอฮอล์, ได้รับสารพิษจากสภาพแวดล้อม เช่น สารตะกั่วและโลหะ เป็นต้น 

 

  • การคลอดก่อนกำหนด หรือเด็กที่มีน้ำหนักน้อยตอนแรกเกิด

 

  • การเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่มีความเครียด กดดัน หรือขาดการกระตุ้นพฤติกรรมที่เหมาะสม ไม่ได้เป็นสาเหตุของการเกิดโรคนี้ แต่อาจมีส่วนทำให้อาการของโรคเป็นมากขึ้นได้ 

 

 

อาการของโรคสมาธิสั้นมีอะไรบ้าง?

 

สามารถแบ่งได้ 3 กลุ่ม ดังนี้

 

  • ขาดสมาธิ หรือสมาธิสั้น (Inattention) มักจะมีอาการหลุดโฟกัสได้ง่าย, ขี้หลงขี้ลืม, ทำสิ่งของหายเป็นประจำ หรือไม่สามารถที่จะทำกิจกรรมใด ๆ ได้นาน เป็นต้น 

 

  • มีอาการซน หรืออยู่ไม่นิ่ง (Hyperactivity) จะมีพฤติกรรมที่อยู่ไม่สุข, กระวนกระวาย, ลุกเดินไปมาบ่อยครั้ง, ขยับตัวตลอดเวลา หรือพูดคุยเยอะผิดปกติ

 

ควบคุมอารมณ์ไม่ได้

 

  • ขาดความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมของตนเอง (Impulsivity) มักจะแสดงพฤติกรรมแบบตอบคำถามก่อนฟังจบ, ชอบขัดจังหวะผู้อื่น, ไม่มีความอดทนในการรอ และควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีเท่าที่ควร 

 

อาการจะเริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 3 - 7 ปี โดยอาจจะสังเกตจากพฤติกรรมเวลาอยู่ในที่สาธารณะ หรือเมื่อทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างต่อเนื่อง 

 



โรคหรือภาวะที่มักจะพบร่วมกับโรคสมาธิสั้น

 

การเรียนรู้บกพร่อง

 

  • โรคการเรียนรู้บกพร่อง (Learning Disorder หรือ LD) จะมีโอกาสพบร่วมกับโรคสมาธิสั้นถึง 30% โดยเด็กที่เผชิญกับภาวะนี้จะมีปัญหาการเรียนรู้เฉพาะด้าน เช่น การอ่าน, การเขียน หรือการคำนวณ ถึงแม้ว่าจะมีระดับสติปัญญาปกติ

 

  • โรคกล้ามเนื้อกระตุก (Tic Disorders) มีพฤติกรรมการกระตุกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น การกระตุกของศีรษะ, การขยิบตา หรือการส่งเสียงออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นต้น 

 

  • โรควิตกกังวล (Anxiety Disorders) เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นบางคนอาจมีความกังวลที่สูงเกินปกติ เช่น กลัวการเข้าสังคม, วิตกกังวลเมื่อถูกจับตามอง, กลัวหรือกังวลแบบเกินเหตุ 

 

  • ปัญหาพฤติกรรมการดื้อแบบต่อต้าน (Oppositional Defiant Disorder หรือ ODD) โดยเด็กมักจะไม่ยอมทำตามคำสั่ง ชอบโต้แย้ง มีอารมณ์หงุดหงิดง่าย หรือชอบแสดงพฤติกรรมที่ท้าทายต่ออำนาจอยู่บ่อยครั้ง

 

 

โรคสมาธิสั้นมีวิธีการวินิจฉัยอย่างไร?

 

การวินิจฉัยโรค

 

โรคสมาธิสั้นจะได้รับการวินิจฉัยต่อเมื่อมีอาการที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การเรียน และมีอาการต่อเนื่องนานกว่า 6 เดือน ซึ่งการวินิจฉัยโรคนี้จะไม่สามารถทำการตรวจเลือด หรือสแกนสมองได้โดยตรง แต่จำเป็นต้องใช้การสังเกตพฤติกรรม หรือสอบถามประวัติผู้ป่วยเพื่อรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ร่วมกับการทำแบบประเมินที่ได้รับการรับรองโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 

 

 

วิธีการรักษาโรคสมาธิสั้น

 

โรคสมาธิสั้นจะใช้วิธีการรักษาแบบผสมผสานระหว่างการใช้ยา, การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการบำบัดด้านจิตใจ ได้แก่ 

 

  • การใช้ยา เช่น ยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท (ยาเมทิลเฟนิเดต - Methylphenidate), ยาที่ไม่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท (ยาอะโตม็อกซีทีน - Atomoxetine) หรือยาอื่น ๆ  (ยาต้านโรคซึมเศร้า, ยาคลายกังวล) เป็นต้น 

 

  • การบำบัดพฤติกรรม เช่น การฝึกทักษะการควบคุมตนเอง

 

  • การสนับสนุนความรู้แก่ผู้ดูแล เพื่อให้เข้าใจและสนับสนุนผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม 

 

  • การปรับสภาพแวดล้อม ลดสิ่งรบกวนให้น้อยลง และสร้างกิจวัตรประจำวันให้ชัดเจนขึ้น

 

  • การรักษาทางจิตเวช โดยผู้ป่วยต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์เฉพาะทาง เพราะผู้ป่วยโรคนี้อาจจะเผชิญกับปัญหาสภาวะจิตใจอื่นร่วมด้วย

 

 

การดูแลผู้ป่วยโรคสมาธิสั้น

 

  • สร้างกิจวัตรประจำวันที่ชัดเจนให้ผู้ป่วย เช่น การตื่นนอน, เวลาเล่น ทำการบ้าน หรือเข้านอน เป็นต้น 

 

  • หลีกเลี่ยงการลงโทษที่รุนแรง เพราะยิ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการต่อต้าน

 

ชมเชยเมื่อปรับพฤติกรรมได้

 

  • การให้รางวัลและชมเชยเมื่อเด็กปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้เหมาะสม 

 

  • เรียนรู้ที่จะเข้าใจและสังเกตอารมณ์ของผู้อื่น 

 

  • ฝึกควบคุมพฤติกรรมที่ใจร้อนและหุนหันพลันแล่น

 

  • ฝึกจัดระเบียบพื้นที่ใช้สอยและสิ่งของให้เรียบร้อยและเป็นระบบ

 

  • การทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น 

 

  • การออกกำลังกายเป็นประจำ

 

  • พักผ่อนให้เพียงพอ

 

 

โรคสมาธิสั้น เป็นภาวะที่สามารถส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันทั้งในด้านพฤติกรรม, อารมณ์ และการเข้าสังคม การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรค จะช่วยให้ผู้ที่มีภาวะนี้สามารถปรับตัวและใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น ทั้งในวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่