โรคสมาธิสั้น หรือ ADHD (Attention Deficit Hyperactivity Disorder) คือ หนึ่งในปัญหาด้านพฤติกรรมที่สามารถพบได้บ่อยในเด็ก ซึ่งในบางกรณีอาจส่งผลต่อเนื่องไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ หากผู้ป่วยไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม โรคนี้อาจไม่ได้หมายถึงแค่เป็น “เด็กซน” แต่อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับระบบประสาทและสมอง ที่ทำให้เกิดปัญหาเรื่องสมาธิในการจดจ่อ หรือการควบคุมตนเอง
โรคสมาธิสั้นสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย โดยจากการอ้างอิงของแพทย์พบว่าเด็กที่เป็นโรคนี้ มักเกิดจากภาวะความผิดปกติในการทำงานของสมองบางส่วน โดยเฉพาะบริเวณสมองส่วนหน้าที่ควบคุมความคิด และพฤติกรรม
โดยมีปัจจัยอื่นที่อาจเพิ่มความเสี่ยง ดังนี้
พันธุกรรม ผู้ป่วยที่มีพ่อแม่ ญาติพี่น้องเป็นโรคสมาธิสั้น อาจเป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ขึ้นได้
ความผิดปกติระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น มารดาที่สูบบุหรี่, ดื่มแอลกอฮอล์, ได้รับสารพิษจากสภาพแวดล้อม เช่น สารตะกั่วและโลหะ เป็นต้น
การคลอดก่อนกำหนด หรือเด็กที่มีน้ำหนักน้อยตอนแรกเกิด
การเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่มีความเครียด กดดัน หรือขาดการกระตุ้นพฤติกรรมที่เหมาะสม ไม่ได้เป็นสาเหตุของการเกิดโรคนี้ แต่อาจมีส่วนทำให้อาการของโรคเป็นมากขึ้นได้
สามารถแบ่งได้ 3 กลุ่ม ดังนี้
ขาดสมาธิ หรือสมาธิสั้น (Inattention) มักจะมีอาการหลุดโฟกัสได้ง่าย, ขี้หลงขี้ลืม, ทำสิ่งของหายเป็นประจำ หรือไม่สามารถที่จะทำกิจกรรมใด ๆ ได้นาน เป็นต้น
มีอาการซน หรืออยู่ไม่นิ่ง (Hyperactivity) จะมีพฤติกรรมที่อยู่ไม่สุข, กระวนกระวาย, ลุกเดินไปมาบ่อยครั้ง, ขยับตัวตลอดเวลา หรือพูดคุยเยอะผิดปกติ
ขาดความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมของตนเอง (Impulsivity) มักจะแสดงพฤติกรรมแบบตอบคำถามก่อนฟังจบ, ชอบขัดจังหวะผู้อื่น, ไม่มีความอดทนในการรอ และควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีเท่าที่ควร
อาการจะเริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 3 - 7 ปี โดยอาจจะสังเกตจากพฤติกรรมเวลาอยู่ในที่สาธารณะ หรือเมื่อทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างต่อเนื่อง
โรคการเรียนรู้บกพร่อง (Learning Disorder หรือ LD) จะมีโอกาสพบร่วมกับโรคสมาธิสั้นถึง 30% โดยเด็กที่เผชิญกับภาวะนี้จะมีปัญหาการเรียนรู้เฉพาะด้าน เช่น การอ่าน, การเขียน หรือการคำนวณ ถึงแม้ว่าจะมีระดับสติปัญญาปกติ
โรคกล้ามเนื้อกระตุก (Tic Disorders) มีพฤติกรรมการกระตุกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น การกระตุกของศีรษะ, การขยิบตา หรือการส่งเสียงออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นต้น
โรควิตกกังวล (Anxiety Disorders) เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นบางคนอาจมีความกังวลที่สูงเกินปกติ เช่น กลัวการเข้าสังคม, วิตกกังวลเมื่อถูกจับตามอง, กลัวหรือกังวลแบบเกินเหตุ
ปัญหาพฤติกรรมการดื้อแบบต่อต้าน (Oppositional Defiant Disorder หรือ ODD) โดยเด็กมักจะไม่ยอมทำตามคำสั่ง ชอบโต้แย้ง มีอารมณ์หงุดหงิดง่าย หรือชอบแสดงพฤติกรรมที่ท้าทายต่ออำนาจอยู่บ่อยครั้ง
โรคสมาธิสั้นจะได้รับการวินิจฉัยต่อเมื่อมีอาการที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การเรียน และมีอาการต่อเนื่องนานกว่า 6 เดือน ซึ่งการวินิจฉัยโรคนี้จะไม่สามารถทำการตรวจเลือด หรือสแกนสมองได้โดยตรง แต่จำเป็นต้องใช้การสังเกตพฤติกรรม หรือสอบถามประวัติผู้ป่วยเพื่อรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ร่วมกับการทำแบบประเมินที่ได้รับการรับรองโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
โรคสมาธิสั้นจะใช้วิธีการรักษาแบบผสมผสานระหว่างการใช้ยา, การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการบำบัดด้านจิตใจ ได้แก่
การใช้ยา เช่น ยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท (ยาเมทิลเฟนิเดต - Methylphenidate), ยาที่ไม่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท (ยาอะโตม็อกซีทีน - Atomoxetine) หรือยาอื่น ๆ (ยาต้านโรคซึมเศร้า, ยาคลายกังวล) เป็นต้น
การบำบัดพฤติกรรม เช่น การฝึกทักษะการควบคุมตนเอง
การสนับสนุนความรู้แก่ผู้ดูแล เพื่อให้เข้าใจและสนับสนุนผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม
การปรับสภาพแวดล้อม ลดสิ่งรบกวนให้น้อยลง และสร้างกิจวัตรประจำวันให้ชัดเจนขึ้น
การรักษาทางจิตเวช โดยผู้ป่วยต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์เฉพาะทาง เพราะผู้ป่วยโรคนี้อาจจะเผชิญกับปัญหาสภาวะจิตใจอื่นร่วมด้วย
สร้างกิจวัตรประจำวันที่ชัดเจนให้ผู้ป่วย เช่น การตื่นนอน, เวลาเล่น ทำการบ้าน หรือเข้านอน เป็นต้น
หลีกเลี่ยงการลงโทษที่รุนแรง เพราะยิ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการต่อต้าน
การให้รางวัลและชมเชยเมื่อเด็กปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้เหมาะสม
เรียนรู้ที่จะเข้าใจและสังเกตอารมณ์ของผู้อื่น
ฝึกควบคุมพฤติกรรมที่ใจร้อนและหุนหันพลันแล่น
ฝึกจัดระเบียบพื้นที่ใช้สอยและสิ่งของให้เรียบร้อยและเป็นระบบ
การทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
การออกกำลังกายเป็นประจำ
พักผ่อนให้เพียงพอ
โรคสมาธิสั้น เป็นภาวะที่สามารถส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันทั้งในด้านพฤติกรรม, อารมณ์ และการเข้าสังคม การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรค จะช่วยให้ผู้ที่มีภาวะนี้สามารถปรับตัวและใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น ทั้งในวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่