โรคโครห์น การอักเสบของระบบทางเดินอาหาร
โรคโครห์น การอักเสบของระบบทางเดินอาหาร

โรคโครห์น (Crohn's Disease) คือ โรคหนึ่งในกลุ่มโรคลำไส้อักเสบที่มีผลต่อระบบทางเดินอาหาร โดยที่เยื่อบุในระบบทางเดินอาหารเกิดการอักเสบ ส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ปวดท้อง ท้องร่วง สามารถพบได้ทุกส่วนของอวัยวะในระบบทางเดินอาหาร ตั้งแต่ช่องปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ จนถึงทวารหนัก

 

 

สาเหตุของโรคโครห์น

 

  • สิ่งแวดล้อม ผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชน โรงงานอุตสาหกรรม มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคโครห์นได้มากกว่า ผู้อาศัยในชุมชนชนบท

 

  • ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายผิดปกติ เมื่อร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อโรค จากการตอบสนองที่ของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายที่ผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการทำลายเซลล์ในระบบทางเดินอาหาร และเกิดโรคโครห์นในที่สุด

 

  • กรรมพันธุ์ หากบุคคลในครอบครัวเคยมีประวัติเป็นโรคโครห์น จะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคทางพันธุกรรม 20 %

 

  • ผู้ที่มีประวัติการติดเชื้อ หากมีการติดเชื้อในช่วงวัยเด็ก จะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายผิดปกติ และเกิดโรคโครห์นในที่สุด

 

  • การใช้ยาต้านการอักเสบ เช่น ยาไอบูโพรเฟน ยานาพรอกเซน และยาไดโคลฟีแนค ส่งผลให้เกิดอาการลำไส้อักเสบได้

 

  • อาหาร ผู้ที่รับประทานอาหารประเภทไขมันสูง และอาหารประเภทขัดสี จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคโครห์นได้

 

  • การสูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคโครห์นได้มากกว่า ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 2 เท่า อีกทั้งผู้ป่วยโรค โครห์น และมีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ จะเพิ่มความรุนแรงของอาการโรคโครห์น

 

 

อาการของโรคโครห์น

 

  • ปวดท้อง

 

  • ท้องเสีย

 

  • ถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือด

 

  • อ่อนเพลีย

 

  • เบื่ออาหาร

 

  • น้ำหนักลดลง

 

 

การวินิจฉัยโรคโครห์น

 

  • การส่งตรวจตัวอย่างเลือด และการส่งตรวจตัวอย่างอุจจาระ  สามารถบ่งบอกการอักเสบที่เกิดขึ้นในอวัยวะร่างกาย และบ่งบอกชนิดของเชื้อโรคที่ผู้ป่วยเกิดการติดเชื้อ

 

  • การส่องกล้องตรวจดูลำไส้ (Colonoscopy) เป็นการตรวจดูลำไส้ใหญ่ ทางช่องทวารหนัก ด้วยกล้องส่องภายใน

 

  • แพทย์จะนำตัวอย่างเนื้อเยื่อไปวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ

 

  • การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) การเอกซเรย์ที่สามารถเห็นภาพของลำไส้ทั้งหมด รวมทั้งเนื้อเยื่อต่างๆนอกลำไส้

 

  • การตรวจเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สแกนภาพอวัยวะภายใน รวมทั้งเนื้อเยื่อภายในอวัยวะ ส่งผลให้เกิดความแม่นยำในการวินิจฉัยลำไส้เล็ก

 

  • การส่องตรวจลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Flexible Sigmoidoscopy) การใช้ท่อที่มีไฟขนาดเล็ก และยืดหยุ่น ในการตรวจดูลำไส้ส่วนปลาย

 

 

ท้องเสีย

 

 

การรักษาโรคโครห์น

 

การรักษาด้วยยา

 

ยาบรรเทาอาการโรคโครห์น

 

  • ยาแก้ปวด เช่น  อะเซตามิโนเฟน

 

  • ยาแก้ท้องเสีย เช่น ไซเลียม พาวเดอร์  และเมธิลเซลูโลส หากมีอาการรุนแรงมากจะใช้ยาโลเพอราไมด์

 

ยาปฏิชีวนะ

 

  • ยาไซโปรฟลอกซาซิน ช่วยให้อาการของโรคโครห์นดีขึ้น อาจส่งผลข้างเคียง เช่น เหน็บ ชา ที่บริเวณมือ และเท้า เป็นต้น

 

  • เมโทรนิดาโซล หากใช้ร่วมกับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ อาจส่งผลให้เส้นเอ็นฉีก

 

ยาต้านการอักเสบ

 

  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ เช่น ยาเพรดนิโซน เป็นยาที่ช่วยลดการอักเสบได้ทุกส่วนในร่างกาย อาจส่งผลข้างเคียง เช่น นอนไม่หลับ หน้าบวม เป็นต้น

 

  • ยากลุ่มอะมิโนซาลิไซเลต ได้แก่ ยาซัลฟาซาลาซีน และยาเมซาลาซีน อาจส่งผลข้างเคียง คลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น

 

ยากดภูมิคุ้มกัน

 

  • ยาอะซาไธโอพรีนและเมอร์เเคปโตพิวรีน เป็นยาที่การรักษาโรคลำไส้อักเสบ

 

  • ยายับยั้งทีเอ็นเอฟ ได้แก่ ยาอินฟลิซิแมบ อะดาลิมูแมบ และเซอร์โทลิซูแมบ  เป็นยาที่การรักษาโรคโครห์น ในระดับที่ไม่รุนแรงมาก

 

โภชนาการบำบัด

 

  • เป็นการรับสารอาหารทางท่อให้อาหาร และ ทางหลอดเลือด ซึ่งจะช่วยให้ลำไส้ได้หยุดพักการทำงาน และลดการอักเสบได้ในระยะสั้นๆ

 

การผ่าตัด

 

  • การผ่าตัดโดยการนำส่วนที่เสียหายออกจากร่างกาย และเชื่อมต่อกับส่วนที่ไม่ได้รับความเสียหาย ผลจากการผ่าตัดรักษามักจะอยู่ได้เพียงชั่วคราว โรคโครห์นมักจะกลับมาเป็นซ้ำ ในบริเวณที่ผ่าตัด จะต้องทำการรักษาเพื่อไม่ให้กลับมาเป็นโรคโครห์นซ้ำอีก

 

 

การป้องกันโรคโครห์น

 

  • 1. รับประทานอาหารไขมันต่ำ ลดการรับประทานไขมันสูง เช่น อาหารที่ทำด้วยวิธีการทอด เป็นต้น

 

  • 2. รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผัก และผลไม้สด

 

  • 3. ไม่ควรดื่มนมเยอะ หรือบริโภคผลิตภัณฑ์จากนมเยอะจนเกินไป

 

  • 4. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มกาเฟอีน แอลกอฮอล์ และอาหารรสชาติจัด

 

  • 5. ดื่มน้ำปริมาณมากๆ และหลีกเลี่ยงน้ำอัดลม

 

  • 6. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่

 

  • 7. ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาปฏิชีวนะ

 

  • 8. ออกกำลังกายเป็นประจำ

 

 

โรคโครห์นยังเป็นโรคที่ยังหาสาเหตุในการเกิดโรคยังไม่ชัดเจน ส่งผลให้การรักษายังไม่มีวิธีใดรักษาโรคโครห์นให้หายขาดได้ จึงเป็นการรักษาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด เพื่อให้อาการดีขึ้นใน  ระยะยาว ดังนั้นควรจะดูแลสุขภาพร่างกาย หลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคโครห์นได้

 

 

 


บทความที่เกี่ยวข้อง

 

 

โปรแกรมส่องกล้องโรคระบบทางเดินอาหารและลำไส้