เลือดกำเดาไหล
เลือดกำเดาไหล สัญญาณจากร่างกายที่ไม่ควรมองข้าม

 

เลือดกำเดา (Epistaxis) เป็นอาการที่หลายคนอาจเคยประสบพบเจอเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะช่วงที่มีอากาศร้อนหรือตอนที่อยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน แม้ส่วนมากแล้วเลือดกำเดาไหลจะไม่เป็นอันตรายและสามารถหายเองได้ แต่ถ้าหากเกิดขึ้นบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติของระบบร่างกาย

 

 

เลือดกำเดาไหล

 

เลือดกำเดาไหลคือ

 

คือภาวะที่มีเลือดไหลออกจากรูจมูกข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง ซึ่งมักเกิดจากเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกแตกเนื่องจากบริเวณนี้มีหลอดเลือดจำนวนมาก ซึ่งไม่ใช่แค่เส้นเลือดภายในโพรงจมูกที่ค่อนข้างเปราะบางและแตกได้ง่าย ยังมีอีกหลายปัจจัยที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดความผิดปกตินี้ บางรายอาจมีความรุนแรงจนเลือดสามารถออกมาทางช่องปาก หากกลืนหรือไหลกลับเข้าไปในปอด จะทำให้ไอหรืออาเจียนออกมาเป็นเลือด อีกทั้งยังเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของร่างกายได้

 

 

เลือดกำเดาไหลเกิดจากอะไร ? 

 

  • การล้วง แคะ แกะ เกลา ในโพรงจมูก หรือสั่งน้ำมูกออกอย่างรุนแรง

 

  • จามบ่อย ร่างกายมีปฏิกิริยาภูมิแพ้ สารเคมี หรือมลพิษทางสิ่งแวดล้อม

 

  • อุบัติเหตุ หรือถูกทำร้ายโดยการกระแทกบริเวณจมูก

 

  • การใช้ยาประเภทรักษาโรคหวัด ภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ที่ส่งผลให้จมูกแห้ง เช่น ยาต้านฮิสตามีน ยาแก้คัดจมูก รวมทั้งการใช้แอสไพรินมากจนเกินไป

 

  • เยื่อบุจมูกแห้งเมื่ออยู่ในอุณหภูมิต่ำลง หรือสภาพอากาศแห้ง

 

  • ความผิดปกติทางกายวิภาค เช่น ผนังกั้นช่องจมูกคด เป็นต้น

 

 

เลือดกำเดาไหลบ่งบอกว่าเป็นโรคอะไรได้บ้าง 

 

  • ภูมิแพ้ ไซนัสเรื้อรัง

 

  • ความดันโลหิตสูง

 

เลือดออกง่าย

 

  • ภาวะเลือดออกง่าย

 

 

  • ภาวะหลอดเลือดแข็ง

 

  • ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน

 

  • มะเร็ง เนื้องอก วัณโรคในโพรงจมูก

 

  • ร่างกายขาดวิตามินซี หรือวิตามินเค

 

 

เลือดกำเดาไหลบ่อย ๆ อันตรายไหม 

 

ปกติแล้วส่วนใหญ่ไม่ได้ร้ายแรง แต่ถ้าหากเกิดจากโพรงจมูกด้านหลังจะอันตรายกว่าทางด้านหน้า และมีอาการร่วมต่าง ๆ ดังนี้

 

  • เลือดกำเดาไหลไม่หยุดมากกว่า 20 นาที หรือไหลออกข้างเดียวซ้ำ ๆ รวมทั้งออกมามีลักษณะเป็นลิ่มเลือด

 

หน้ามืด

 

  • วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม

 

 

  • หูอื้อ

 

  • รู้สึกมีก้อนหรืออะไรติดที่คอ จมูก

 

  • ไข้สูง 38.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป

 

  • มีเลือดไหลโดยไม่ทราบสาเหตุ

 

หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบมาพบแพทย์โดยทันที

 

 

การวินิจฉัยเลือดกำเดาไหล 

 

ขั้นแรกแพทย์จะซักประวัติทั้งอาการเจ็บปวด โรคประจำตัว และการประสบอุบัติเหตุในอดีต จากนั้นจะทำการตรวจเบื้องต้นเพื่อหาสิ่งแปลกปลอม ความผิดปกติภายในโพรงจมูก โดยการใช้สำลีชุบยาสอดเข้าไปในจมูกของผู้ป่วย และทำการตรวจด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม ได้แก่

 

ส่องกล้องตรวจภายในโพรงจมูก (Nasal Endoscopy)

 

ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC)

 

  • เพื่อดูปริมาณเม็ดเลือดแดง ขาว และเกล็ดเลือด

 

ตรวจวัดระยะเวลาการแข็งตัวของโลหิต

 

  • หากมีความผิดปกติ เลือดจะแข็งตัวในเวลามากกว่า 25-35 วินาทีขึ้นไป

 

วินิจฉัยภาพถ่ายภายในโพรงจมูกด้วยวิธีการ

 

  • เอกซเรย์ (X-ray)

 

  • เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)

 

 

การปฐมพยาบาลเลือดกำเดาไหล 

 

  • หยุดการเคลื่อนไหวทุกกิจกรรมที่กำลังปฏิบัติอยู่

 

  • บีบจมูกประมาณ 5 นาที และหายใจทางปาก

 

  • นั่งตัวตรง ยกศีรษะเงยขึ้นพอประมาณ เพื่อป้องกันการสำลักเลือด

 

  • ประคบเย็นบริเวณจมูก

 

  • เมื่อเลือดหยุดไหลแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการจาม สั่งน้ำมูก แหย่ เกลา ในโพรงจมูก เป็นเวลา 24 ชั่วโมง รวมทั้งอยู่ในสภาพอากาศที่เหมาะสม ไม่หนาวเย็นหรือแห้งจนเกินไป

 

  • หากเลือดไม่หยุดไหลให้มาโรงพยาบาลทันที

 

 

การป้องกันเลือดกำเดาไหล 

 

  • ตัดเล็บให้สั้น หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูก แคะ แกะ เกลา ในโพรงจมูก

 

  • หากอยู่ในช่วงฤดูหนาว ควรทาปิโตรเลียมเจลลี (วาสลีน) เคลือบในรูจมูก

 

  • ระมัดระวังการกระทบกระเทือนบริเวณจมูกโดยตรง เช่น การเล่นกีฬา หรือประสบอุบัติเหตุทางจราจร

 

  • ดื่มน้ำมาก ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ

 

  • ตรวจสุขภาพประจำปีสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับเลือด

 

 

เลือดกำเดาไหลบ่อยควรกินอะไรดี ? 

 

อาหารที่ช่วยบำรุงหลอดเลือดและลดโอกาสในการเกิดเลือดกำเดาไหล มีดังนี้

 

อาหารที่มีวิตามินซี

 

  • ผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม, ส้มโอ, ฝรั่ง, บรอกโคลี เป็นต้น 

 

  • อาหารที่มีวิตามินเค เช่น ผักคะน้า ผักโขม กะหล่ำปลี

 

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน 

 

  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ เพราะอาจทำให้หลอดเลือดเปราะบาง

 

 

เลือดกำเดาไหล สามารถพบได้ทุกเพศและทุกวัย แต่เด็กเล็กและผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงอาการรุนแรง ฉะนั้นการรู้วิธีปฐมพยาบาลและป้องกันอย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงลงได้มาก ดังนั้นแล้วควรใส่ใจกับสุขภาพเพราะสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันนั้นเป็นมลพิษมากมาย โดยเฉพาะ ฝุ่น P.M. 2.5



เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

 

ศูนย์ตรวจสุขภาพ