เลือดกำเดา (Epistaxis) เป็นอาการที่หลายคนอาจเคยประสบพบเจอเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะช่วงที่มีอากาศร้อนหรือตอนที่อยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน แม้ส่วนมากแล้วเลือดกำเดาไหลจะไม่เป็นอันตรายและสามารถหายเองได้ แต่ถ้าหากเกิดขึ้นบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติของระบบร่างกาย
คือภาวะที่มีเลือดไหลออกจากรูจมูกข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง ซึ่งมักเกิดจากเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกแตกเนื่องจากบริเวณนี้มีหลอดเลือดจำนวนมาก ซึ่งไม่ใช่แค่เส้นเลือดภายในโพรงจมูกที่ค่อนข้างเปราะบางและแตกได้ง่าย ยังมีอีกหลายปัจจัยที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดความผิดปกตินี้ บางรายอาจมีความรุนแรงจนเลือดสามารถออกมาทางช่องปาก หากกลืนหรือไหลกลับเข้าไปในปอด จะทำให้ไอหรืออาเจียนออกมาเป็นเลือด อีกทั้งยังเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของร่างกายได้
การล้วง แคะ แกะ เกลา ในโพรงจมูก หรือสั่งน้ำมูกออกอย่างรุนแรง
จามบ่อย ร่างกายมีปฏิกิริยาภูมิแพ้ สารเคมี หรือมลพิษทางสิ่งแวดล้อม
อุบัติเหตุ หรือถูกทำร้ายโดยการกระแทกบริเวณจมูก
การใช้ยาประเภทรักษาโรคหวัด ภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ที่ส่งผลให้จมูกแห้ง เช่น ยาต้านฮิสตามีน ยาแก้คัดจมูก รวมทั้งการใช้แอสไพรินมากจนเกินไป
เยื่อบุจมูกแห้งเมื่ออยู่ในอุณหภูมิต่ำลง หรือสภาพอากาศแห้ง
ความผิดปกติทางกายวิภาค เช่น ผนังกั้นช่องจมูกคด เป็นต้น
ภูมิแพ้ ไซนัสเรื้อรัง
ความดันโลหิตสูง
ภาวะเลือดออกง่าย
การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เช่น โรคฮีโมฟีเลีย
ภาวะหลอดเลือดแข็ง
ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน
มะเร็ง เนื้องอก วัณโรคในโพรงจมูก
ร่างกายขาดวิตามินซี หรือวิตามินเค
ปกติแล้วส่วนใหญ่ไม่ได้ร้ายแรง แต่ถ้าหากเกิดจากโพรงจมูกด้านหลังจะอันตรายกว่าทางด้านหน้า และมีอาการร่วมต่าง ๆ ดังนี้
เลือดกำเดาไหลไม่หยุดมากกว่า 20 นาที หรือไหลออกข้างเดียวซ้ำ ๆ รวมทั้งออกมามีลักษณะเป็นลิ่มเลือด
วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม
หัวใจเต้นเร็ว การหายใจมีปัญหา
หูอื้อ
รู้สึกมีก้อนหรืออะไรติดที่คอ จมูก
ไข้สูง 38.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป
มีเลือดไหลโดยไม่ทราบสาเหตุ
หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบมาพบแพทย์โดยทันที
ขั้นแรกแพทย์จะซักประวัติทั้งอาการเจ็บปวด โรคประจำตัว และการประสบอุบัติเหตุในอดีต จากนั้นจะทำการตรวจเบื้องต้นเพื่อหาสิ่งแปลกปลอม ความผิดปกติภายในโพรงจมูก โดยการใช้สำลีชุบยาสอดเข้าไปในจมูกของผู้ป่วย และทำการตรวจด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม ได้แก่
ส่องกล้องตรวจภายในโพรงจมูก (Nasal Endoscopy)
ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC)
เพื่อดูปริมาณเม็ดเลือดแดง ขาว และเกล็ดเลือด
ตรวจวัดระยะเวลาการแข็งตัวของโลหิต
หากมีความผิดปกติ เลือดจะแข็งตัวในเวลามากกว่า 25-35 วินาทีขึ้นไป
เอกซเรย์ (X-ray)
เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)
หยุดการเคลื่อนไหวทุกกิจกรรมที่กำลังปฏิบัติอยู่
บีบจมูกประมาณ 5 นาที และหายใจทางปาก
นั่งตัวตรง ยกศีรษะเงยขึ้นพอประมาณ เพื่อป้องกันการสำลักเลือด
ประคบเย็นบริเวณจมูก
เมื่อเลือดหยุดไหลแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการจาม สั่งน้ำมูก แหย่ เกลา ในโพรงจมูก เป็นเวลา 24 ชั่วโมง รวมทั้งอยู่ในสภาพอากาศที่เหมาะสม ไม่หนาวเย็นหรือแห้งจนเกินไป
หากเลือดไม่หยุดไหลให้มาโรงพยาบาลทันที
ตัดเล็บให้สั้น หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูก แคะ แกะ เกลา ในโพรงจมูก
หากอยู่ในช่วงฤดูหนาว ควรทาปิโตรเลียมเจลลี (วาสลีน) เคลือบในรูจมูก
ระมัดระวังการกระทบกระเทือนบริเวณจมูกโดยตรง เช่น การเล่นกีฬา หรือประสบอุบัติเหตุทางจราจร
ดื่มน้ำมาก ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ
ตรวจสุขภาพประจำปีสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับเลือด
อาหารที่ช่วยบำรุงหลอดเลือดและลดโอกาสในการเกิดเลือดกำเดาไหล มีดังนี้
ผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม, ส้มโอ, ฝรั่ง, บรอกโคลี เป็นต้น
อาหารที่มีวิตามินเค เช่น ผักคะน้า ผักโขม กะหล่ำปลี
ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ เพราะอาจทำให้หลอดเลือดเปราะบาง
เลือดกำเดาไหล สามารถพบได้ทุกเพศและทุกวัย แต่เด็กเล็กและผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงอาการรุนแรง ฉะนั้นการรู้วิธีปฐมพยาบาลและป้องกันอย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงลงได้มาก ดังนั้นแล้วควรใส่ใจกับสุขภาพเพราะสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันนั้นเป็นมลพิษมากมาย โดยเฉพาะ ฝุ่น P.M. 2.5
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง