โรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้า ทำไมทุกคนก็เสี่ยงเป็นได้

 

ทุกวันนี้คุณรู้สึกเหนื่อยล้ากับชีวิตประจำวันไหม? พอตื่นนอนมาก็รู้สึกไม่มีแรงอยากทำอะไร มีเพียงความรู้สึกหนักหน่วงและไร้ความหมาย หากคุณกำลังแบกความรู้สึกเหล่านี้มาเป็นระยะเวลานาน และเริ่มส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือกระทบต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง นี่คือสัญญาณเบื้องต้นของ “โรคซึมเศร้า” ที่คุณไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด

 

 

โรคซึมเศร้า โรคที่คนไม่เศร้าต้องเข้าใจ

 

โรคซึมเศร้าเป็นอย่างไร

 

โรคซึมเศร้า (Depression) คือ โรคที่ส่งผลต่อความผิดปกติทางอารมณ์และความรู้สึก ผู้ป่วยโรคนี้จะมีความรู้สึกเศร้า ไม่มีความหวัง และไม่สามารถหาทางออกได้ ถึงแม้ว่าความรู้สึกจากที่กล่าวมาทั้งหมด สามารถเกิดขึ้นเป็นปกติกับทุกคน แต่สำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะไม่เหมือนกับผู้ป่วยอื่น เพราะมักมีอาการทางความรู้สึกที่หนักกว่า และสามารถส่งผลให้ใช้ชีวิตประจำวันด้วยความยากลำบาก สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจ คือ โรคซึมเศร้าไม่ได้หมายความว่าคุณอ่อนแอ หรือล้มเหลว แต่เป็นภาวะทางการแพทย์ที่สามารถรักษาได้ เช่นเดียวกับโรคอื่น 

 

 

ประเภทของโรคซึมเศร้า 

 

โรคซึมเศร้ามีด้วยกันหลายประเภท เช่น โรคซึมเศร้าหลังคลอดบุตร, โรคซึมเศร้าก่อนมีรอบเดือน, โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล หรือโรคซึมเศร้าโรคจิต เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเภทจะมีสาเหตุและวิธีการรักษาที่แตกต่างกันไป

 

 

สาเหตุของโรคซึมเศร้า

 

  • เกิดจากสมองที่ทำงานผิดปกติ โดยเส้นประสาทอาจไม่สมดุลกัน หรือมีปัญหาในการทำงานประกอบกับปัจจัยอื่น ๆ ทางด้านความรู้สึก และอารมณ์

 

  • ลักษณะทางความคิด และมุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ ถือเป็นส่วนสำคัญของโรคซึมเศร้า หากมีทัศนคติในแง่ลบ อ่อนไหวต่อสิ่งรอบตัวได้ง่าย อาจส่งผลให้เป็นโรคซึมเศร้าได้

 

  • เหตุการณ์เลวร้ายที่ต้องเผชิญ ในบางครั้งการที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจเป็นเวลานาน และบ่อยครั้ง จนทำให้เกิดความรู้สึกเศร้า และสิ้นหวังก็สามารถทำให้เป็นโรคร้ายนี้ได้เช่นกัน

 

  • การใช้ยาบางชนิดอาจส่งผลให้เกิดโรคนี้ได้ เช่น สเตียรอยด์ ยาเบนโซไดอะซีปีน เป็นต้น ดังนั้นควรศึกษาหรือขอคำแนะนำจากแพทย์เกี่ยวกับตัวยา และผลข้างเคียงที่อาจได้รับ

 

  • โรคบางโรคอาจมีผลข้างเคียงที่นำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้า เพราะผู้ป่วยอาจมีอาการเศร้าจนทำให้ฟื้นตัวจากโรคได้ช้า อาการดังกล่าวอาจเป็นสาเหตุนำพาไปสู่โรคซึมเศร้าได้เช่นกัน

 

  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะผู้หญิงช่วงหลังคลอดบุตรหรือหมดประจำเดือน 

 

 

อาการสำคัญของโรคซึมเศร้า

 

  • รู้สึกเศร้าตลอดเวลา หม่นหมอง และไม่มีความสุขในชีวิต

 

  • หมดความสนใจ ไม่อยากทำในสิ่งที่เคยชอบหรือสนุก

 

  • น้ำหนักลดหรือเพิ่มขึ้นฉับพลันโดยไม่รู้สาเหตุ

 

นอนไม่หลับ

 

 

  • อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เหนื่อยง่าย แม้ไม่ได้ทำอะไร

 

  • การเคลื่อนไหวผิดปกติ กระสับกระส่าย หรือเชื่องช้า ทั้งความคิดและการกระทำ

 

  • รู้สึกไร้ค่า มองตัวเองว่าไม่มีค่าหรือมีประโยชน์ รู้สึกผิดต่อการกระทำของตัวเองตลอดเวลา 

 

  • ไม่มีสมาธิ คิดไม่ออก ขาดทักษะในการวิเคราะห์สถานการณ์ ความจำไม่ดีเหมือนเดิม

 

  • คิดทำร้ายตัวเองตลอดเวลา ไม่อยากมีชีวิตอยู่

 

 

ความเศร้าทั่วไปกับโรคซึมเศร้าต่างกันอย่างไร ?

 

ความเศร้าทั่วไป

 

  • เกิดความเครียดเป็นช่วง มีสาเหตุของอาการชัดเจน

 

  • ยังทำกิจกรรมที่ชอบได้ และรู้สึกดีขึ้นชั่วคราว

 

  • สามารถทานอาหารได้ตามปกติ 

 

  • นอนหลับพักผ่อนได้ปกติ 

 

  • อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามเวลา 

 

โรคซึมเศร้า

 

  • มีอาการเครียดเกือบทุกวัน เป็นระยะเวลาติดต่อกันนาน 2 สัปดาห์ขึ้นไป

 

  • ขาดความสนใจในทุกสิ่ง แม้จะเป็นกิจกรรมที่เคยรักและชอบ

 

  • อาการส่งผลต่อการทานอาหาร เช่น กินน้อยลงหรือกินมากขึ้น

 

  • นอนไม่หลับหรือนอนมากเกินไปจนผิดปกติ

 

  • ไม่สามารถดึงตัวเองแยกออกจากความเศร้าที่เจออยู่ได้

 

 

การวินิจฉัยโรคซึมเศร้า

 

วินิจฉัยโรคซึมเศร้า

 

แพทย์จะเริ่มจากตรวจสอบร่างกายเพื่อหาความผิดปกติ หรือโรคที่อาจนำพาไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้า หากมีการตรวจพบโรคที่เกี่ยวข้องจะเข้าสู่กระบวนการรักษาทันที ส่งผลให้โอกาสการเกิดโรคทางอารมณ์ลดลงตามไปด้วย ทั้งนี้การตรวจที่สำคัญด้วยเครื่องมือแพทย์ทั้ง CT Scan หรือตรวจ EKG หัวใจก็สามารถทำให้รู้ผลที่ละเอียด และแม่นยำมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้แพทย์อาจใช้แบบประเมินผ่านการสอบถามถึงความรู้สึกหรืออาการในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนหน้าที่จะมาพบแพทย์ เพื่อเป็นข้อมูลในการวินิจฉัยโรคต่อไป โดยหากพบว่าผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจริง แพทย์จะทำการรักษาตามความรุนแรงของโรคในขั้นตอนที่เหมาะสมต่อ โดยการรักษาต้องใช้เวลาและปรับเปลี่ยนไปตามอาการของโรคด้วย

 

 

การรักษาโรคซึมเศร้า

 

การรักษาโรคซึมเศร้าด้วยยา 

 

ในอาการระดับปานกลางถึงขั้นรุนแรงจะเป็นการให้ยาต้านซึมเศร้า (Antidepressants) เช่น กลุ่มยา SSRIs (Selective serotonin reuptake inhibitors) และกลุ่มยา SNRIs (Serotonin-noradrenaline reuptake inhibitors) แต่การกินยามากเกินไปอาจมีผลข้างเคียงทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการวิตกกังวล กระวนกระวายใจ นอนไม่หลับ เมื่อยล้า และอาจส่งผลเสียไปถึงการเกิดภาพหลอนได้ จึงต้องมีการรักษาอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย

 

การบำบัดพฤติกรรมและความคิด 

 

จะเป็นวิธีการรักษาที่ใช้เวลาค่อนข้างนาน โดยส่วนมากการบำบัดพฤติกรรมและความคิดจะรักษาควบคู่กันไปกับการกินยา วิธีการรักษาจะเป็นการพูดคุยให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเปลี่ยนพฤติกรรมและมุมมองในการใช้ชีวิต ให้เป็นในทางที่ดีขึ้น

 

การกระตุ้นเซลล์สมองและประสาท 

 

เป็นวิธีการที่ใช้กับผู้ป่วยอาการรุนแรงที่มีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง หรือมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย โดยจะมีการใช้กระแสไฟฟ้าปล่อยผ่านสมองของผู้ป่วยขณะที่ดมยาสลบอยู่ แต่การรักษาด้วยวิธีนี้อาจมีผลข้างเคียง ผู้ป่วยอาจจะมีอาการปวดหัว คลื่นไส้ ความจำเสื่อม และอาจเกิดอาการชักเป็นช่วง ๆ ในระหว่างการรักษา

 

 

การป้องกันและดูแลตัวเองจากโรคซึมเศร้า

 

โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่เกิดจากสาเหตุที่หลากหลายจึงไม่สามารถควบคุมได้ แต่การทำกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคลง เช่น 

 

  • การออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยหลั่งฮอร์โมนของความสุข

 

  • รับแสงแดดยามเช้า จะช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมน

 

  • นอนหลับพักผ่อน 7-8 ชั่วโมง/วัน

 

พูดคุยกับคนรอบข้าง

 

  • หากมีเรื่องทุกข์ ให้พูดคุยกับคนรอบข้างที่เราไว้ใจได้ เพื่อปรับทุกข์และช่วยกันหาวิธีแก้ไขเรื่องเหล่านั้นต่อไป

 

  • หากิจกรรมที่ชอบทำ เพื่อสร้างความสุขและเบี่ยงเบนความเครียด

 

  • พยายามมองโลกในแง่ดี ฝึกคิดเชิงบวก และปลงกับสถานการณ์ที่เราไม่สามารถควบคุมได้ 

 

  • พยายามปล่อยผ่านเรื่องที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเราโดยตรง 

 

  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่ เพราะอาจทำให้อาการและร่างกายแย่ลงได้

 

 

คำแนะนำสำหรับญาติหรือคนรอบข้างผู้ป่วย

 

  • รับฟังด้วยความเข้าใจ ไม่ตัดสิน และไม่ว่ากล่าวอะไร

 

  • ให้กำลังใจผู้ป่วยเสมอ เพราะการรักษาต้องใช้ระยะเวลา 

 

  • ไม่บังคับให้ผู้ป่วยรีบหายจากโรค และอย่ากดดันด้วยคำพูด

 

  • เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ระบาย และรับฟังอย่างตั้งใจ 

 

  • ชวนทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยไม่เป็นการบังคับให้เข้าร่วมกิจกรรมนั้น

 

  • เฝ้าสังเกตอาการ และควรระวังผู้ป่วยทำร้ายตัวเอง

 

กินยาสม่ำเสมอ

 

  • เตือนให้กินยาอย่างสม่ำเสมอ และพาไปพบจิตแพทย์ตามนัด

 

 

การทดสอบโรคซึมเศร้า

 

แพทย์จะถามคำถาม และประเมินอาการจากอารมณ์-ความรู้สึก โดยจะใช้แบบสอบถามโรคซึมเศร้าที่อ้างอิงจากสมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกา (American Psychiatric Association) จำนวน 9 ข้อดังนี้

 

1.รู้สึกเศร้าตลอดเวลา หรือมีอารมณ์เศร้าเป็นส่วนใหญ่

 

2.หมดความสนใจกับสิ่งที่เคยสนุก หรือเคยสนใจมาก่อน

 

3.น้ำหนักลดลง หรือเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน โดยไม่ทราบสาเหตุ

 

4.นอนไม่หลับ หรือนอนหลับมากจนเกินไป

 

5.อ่อนเพลียไม่อยากทำอะไร

 

6.กระสับกระส่าย หรือเชื่องช้าทั้งความคิด และการเคลื่อนไหว

 

7.รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า และรู้สึกผิดตลอดเวลา

 

8.ไม่มีสมาธิ หรือมีปัญหาด้านการคิด และการตัดสินใจ

 

9.มีความคิดอยากทำร้ายตัวเองตลอดเวลา

 

หากผู้ป่วยมีอาการเข้าข่ายอย่างน้อย 5 ข้อ จาก 9 ข้อที่กล่าวไปนั้นเป็นเวลานานอย่างน้อย 2 สัปดาห์ จึงจะวินิจฉัยเบื้องต้นได้ว่าผู้ป่วยกำลังอยู่ในสภาวะโรคซึมเศร้า

 

แบบทดสอบภาวะซึมเศร้า PHQ-9: https://forms.gle/yXqKNvP5wjcFW9898 

 

 

คำถามเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าเบื้องต้น

 

โรคซึมเศร้าสามารถรักษาให้หายได้หรือไม่ ?

 

สามารถรักษาได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลาและความอดทนในขั้นตอนของการรักษา ซึ่งอาจกลับมาเป็นซ้ำได้หากไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการรักษาอย่างสม่ำเสมอ

 

หากกินยาต้านซึมเศร้าบ่อยจะทำให้ติดหรือไม่ ?

 

จะไม่ทำให้ติด แต่ต้องพยายามหยุดการกินอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามคำแนะนำของแพทย์ ห้ามหยุดกินยาด้วยตัวเอง

 

หากสังเกตว่าตัวเองเข้าข่ายโรคซึมเศร้า ควรพบจิตแพทย์เมื่อไร ?

 

หากเริ่มสังเกตุอาการตัวเองมาเป็นระยะเวลามากกว่า 2 สัปดาห์ และเริ่มส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หรือมีความคิดทำร้ายตัวเองบ่อย ควรเข้าพบจิตแพทย์ทันที

 

โรคซึมเศร้ากับความเครียดต่างกันอย่างไร ?

 

ความเครียดเป็นอาการชั่วคราวต่อสถานการณ์ที่เจออยู่ ส่วนโรคซึมเศร้าเป็นภาวะของอาการที่เกิดขึ้นยาวนานและรุนแรงกว่า 

 



โรคซึมเศร้า เป็นโรคที่สามารถรักษาได้ หากสังเกตุเห็นอาการของตัวเองหรือคนรอบข้าง อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือ เพราะการรักษาอาการตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว หากมีความคิดอยากทำร้ายตัวเอง ควรติดต่อสายด่วนสุขภาพจิตเบอร์ 1323 หรือเข้าพบจิตแพทย์ทันที



เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

 

คลินิกอายุรกรรม

 

นักจิตวิทยา ที่ปรึกษาที่เป็นมากกว่า “ไลฟ์โค้ช”

 

อาการเครียดแบบนี้อยู่ขั้นไหนกันนะ

 

คุณมีอาการของโรคซึมเศร้าหรือไม่