ทุกวันนี้คุณรู้สึกเหนื่อยล้ากับชีวิตประจำวันไหม? พอตื่นนอนมาก็รู้สึกไม่มีแรงอยากทำอะไร มีเพียงความรู้สึกหนักหน่วงและไร้ความหมาย หากคุณกำลังแบกความรู้สึกเหล่านี้มาเป็นระยะเวลานาน และเริ่มส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือกระทบต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง นี่คือสัญญาณเบื้องต้นของ “โรคซึมเศร้า” ที่คุณไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด

โรคซึมเศร้า (Depression) คือ โรคที่ส่งผลต่อความผิดปกติทางอารมณ์และความรู้สึก ผู้ป่วยโรคนี้จะมีความรู้สึกเศร้า ไม่มีความหวัง และไม่สามารถหาทางออกได้ ถึงแม้ว่าความรู้สึกจากที่กล่าวมาทั้งหมด สามารถเกิดขึ้นเป็นปกติกับทุกคน แต่สำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะไม่เหมือนกับผู้ป่วยอื่น เพราะมักมีอาการทางความรู้สึกที่หนักกว่า และสามารถส่งผลให้ใช้ชีวิตประจำวันด้วยความยากลำบาก สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจ คือ โรคซึมเศร้าไม่ได้หมายความว่าคุณอ่อนแอ หรือล้มเหลว แต่เป็นภาวะทางการแพทย์ที่สามารถรักษาได้ เช่นเดียวกับโรคอื่น
โรคซึมเศร้ามีด้วยกันหลายประเภท เช่น โรคซึมเศร้าหลังคลอดบุตร, โรคซึมเศร้าก่อนมีรอบเดือน, โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล หรือโรคซึมเศร้าโรคจิต เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเภทจะมีสาเหตุและวิธีการรักษาที่แตกต่างกันไป
เกิดจากสมองที่ทำงานผิดปกติ โดยเส้นประสาทอาจไม่สมดุลกัน หรือมีปัญหาในการทำงานประกอบกับปัจจัยอื่น ๆ ทางด้านความรู้สึก และอารมณ์
ลักษณะทางความคิด และมุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ ถือเป็นส่วนสำคัญของโรคซึมเศร้า หากมีทัศนคติในแง่ลบ อ่อนไหวต่อสิ่งรอบตัวได้ง่าย อาจส่งผลให้เป็นโรคซึมเศร้าได้
เหตุการณ์เลวร้ายที่ต้องเผชิญ ในบางครั้งการที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจเป็นเวลานาน และบ่อยครั้ง จนทำให้เกิดความรู้สึกเศร้า และสิ้นหวังก็สามารถทำให้เป็นโรคร้ายนี้ได้เช่นกัน
การใช้ยาบางชนิดอาจส่งผลให้เกิดโรคนี้ได้ เช่น สเตียรอยด์ ยาเบนโซไดอะซีปีน เป็นต้น ดังนั้นควรศึกษาหรือขอคำแนะนำจากแพทย์เกี่ยวกับตัวยา และผลข้างเคียงที่อาจได้รับ
โรคบางโรคอาจมีผลข้างเคียงที่นำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้า เพราะผู้ป่วยอาจมีอาการเศร้าจนทำให้ฟื้นตัวจากโรคได้ช้า อาการดังกล่าวอาจเป็นสาเหตุนำพาไปสู่โรคซึมเศร้าได้เช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะผู้หญิงช่วงหลังคลอดบุตรหรือหมดประจำเดือน
รู้สึกเศร้าตลอดเวลา หม่นหมอง และไม่มีความสุขในชีวิต
หมดความสนใจ ไม่อยากทำในสิ่งที่เคยชอบหรือสนุก
น้ำหนักลดหรือเพิ่มขึ้นฉับพลันโดยไม่รู้สาเหตุ
.jpg)
นอนไม่หลับหรือนอนหลับมากเกินไป
อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เหนื่อยง่าย แม้ไม่ได้ทำอะไร
การเคลื่อนไหวผิดปกติ กระสับกระส่าย หรือเชื่องช้า ทั้งความคิดและการกระทำ
รู้สึกไร้ค่า มองตัวเองว่าไม่มีค่าหรือมีประโยชน์ รู้สึกผิดต่อการกระทำของตัวเองตลอดเวลา
ไม่มีสมาธิ คิดไม่ออก ขาดทักษะในการวิเคราะห์สถานการณ์ ความจำไม่ดีเหมือนเดิม
คิดทำร้ายตัวเองตลอดเวลา ไม่อยากมีชีวิตอยู่
ความเศร้าทั่วไป
เกิดความเครียดเป็นช่วง มีสาเหตุของอาการชัดเจน
ยังทำกิจกรรมที่ชอบได้ และรู้สึกดีขึ้นชั่วคราว
สามารถทานอาหารได้ตามปกติ
นอนหลับพักผ่อนได้ปกติ
อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามเวลา
โรคซึมเศร้า
มีอาการเครียดเกือบทุกวัน เป็นระยะเวลาติดต่อกันนาน 2 สัปดาห์ขึ้นไป
ขาดความสนใจในทุกสิ่ง แม้จะเป็นกิจกรรมที่เคยรักและชอบ
อาการส่งผลต่อการทานอาหาร เช่น กินน้อยลงหรือกินมากขึ้น
นอนไม่หลับหรือนอนมากเกินไปจนผิดปกติ
ไม่สามารถดึงตัวเองแยกออกจากความเศร้าที่เจออยู่ได้

แพทย์จะเริ่มจากตรวจสอบร่างกายเพื่อหาความผิดปกติ หรือโรคที่อาจนำพาไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้า หากมีการตรวจพบโรคที่เกี่ยวข้องจะเข้าสู่กระบวนการรักษาทันที ส่งผลให้โอกาสการเกิดโรคทางอารมณ์ลดลงตามไปด้วย ทั้งนี้การตรวจที่สำคัญด้วยเครื่องมือแพทย์ทั้ง CT Scan หรือตรวจ EKG หัวใจก็สามารถทำให้รู้ผลที่ละเอียด และแม่นยำมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้แพทย์อาจใช้แบบประเมินผ่านการสอบถามถึงความรู้สึกหรืออาการในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนหน้าที่จะมาพบแพทย์ เพื่อเป็นข้อมูลในการวินิจฉัยโรคต่อไป โดยหากพบว่าผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจริง แพทย์จะทำการรักษาตามความรุนแรงของโรคในขั้นตอนที่เหมาะสมต่อ โดยการรักษาต้องใช้เวลาและปรับเปลี่ยนไปตามอาการของโรคด้วย
การรักษาโรคซึมเศร้าด้วยยา
ในอาการระดับปานกลางถึงขั้นรุนแรงจะเป็นการให้ยาต้านซึมเศร้า (Antidepressants) เช่น กลุ่มยา SSRIs (Selective serotonin reuptake inhibitors) และกลุ่มยา SNRIs (Serotonin-noradrenaline reuptake inhibitors) แต่การกินยามากเกินไปอาจมีผลข้างเคียงทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการวิตกกังวล กระวนกระวายใจ นอนไม่หลับ เมื่อยล้า และอาจส่งผลเสียไปถึงการเกิดภาพหลอนได้ จึงต้องมีการรักษาอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย
การบำบัดพฤติกรรมและความคิด
จะเป็นวิธีการรักษาที่ใช้เวลาค่อนข้างนาน โดยส่วนมากการบำบัดพฤติกรรมและความคิดจะรักษาควบคู่กันไปกับการกินยา วิธีการรักษาจะเป็นการพูดคุยให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเปลี่ยนพฤติกรรมและมุมมองในการใช้ชีวิต ให้เป็นในทางที่ดีขึ้น
การกระตุ้นเซลล์สมองและประสาท
เป็นวิธีการที่ใช้กับผู้ป่วยอาการรุนแรงที่มีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง หรือมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย โดยจะมีการใช้กระแสไฟฟ้าปล่อยผ่านสมองของผู้ป่วยขณะที่ดมยาสลบอยู่ แต่การรักษาด้วยวิธีนี้อาจมีผลข้างเคียง ผู้ป่วยอาจจะมีอาการปวดหัว คลื่นไส้ ความจำเสื่อม และอาจเกิดอาการชักเป็นช่วง ๆ ในระหว่างการรักษา
โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่เกิดจากสาเหตุที่หลากหลายจึงไม่สามารถควบคุมได้ แต่การทำกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคลง เช่น
การออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยหลั่งฮอร์โมนของความสุข
รับแสงแดดยามเช้า จะช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมน
นอนหลับพักผ่อน 7-8 ชั่วโมง/วัน

หากมีเรื่องทุกข์ ให้พูดคุยกับคนรอบข้างที่เราไว้ใจได้ เพื่อปรับทุกข์และช่วยกันหาวิธีแก้ไขเรื่องเหล่านั้นต่อไป
หากิจกรรมที่ชอบทำ เพื่อสร้างความสุขและเบี่ยงเบนความเครียด
พยายามมองโลกในแง่ดี ฝึกคิดเชิงบวก และปลงกับสถานการณ์ที่เราไม่สามารถควบคุมได้
พยายามปล่อยผ่านเรื่องที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเราโดยตรง
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่ เพราะอาจทำให้อาการและร่างกายแย่ลงได้
รับฟังด้วยความเข้าใจ ไม่ตัดสิน และไม่ว่ากล่าวอะไร
ให้กำลังใจผู้ป่วยเสมอ เพราะการรักษาต้องใช้ระยะเวลา
ไม่บังคับให้ผู้ป่วยรีบหายจากโรค และอย่ากดดันด้วยคำพูด
เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ระบาย และรับฟังอย่างตั้งใจ
ชวนทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยไม่เป็นการบังคับให้เข้าร่วมกิจกรรมนั้น
เฝ้าสังเกตอาการ และควรระวังผู้ป่วยทำร้ายตัวเอง

เตือนให้กินยาอย่างสม่ำเสมอ และพาไปพบจิตแพทย์ตามนัด
แพทย์จะถามคำถาม และประเมินอาการจากอารมณ์-ความรู้สึก โดยจะใช้แบบสอบถามโรคซึมเศร้าที่อ้างอิงจากสมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกา (American Psychiatric Association) จำนวน 9 ข้อดังนี้
1.รู้สึกเศร้าตลอดเวลา หรือมีอารมณ์เศร้าเป็นส่วนใหญ่
2.หมดความสนใจกับสิ่งที่เคยสนุก หรือเคยสนใจมาก่อน
3.น้ำหนักลดลง หรือเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน โดยไม่ทราบสาเหตุ
4.นอนไม่หลับ หรือนอนหลับมากจนเกินไป
5.อ่อนเพลียไม่อยากทำอะไร
6.กระสับกระส่าย หรือเชื่องช้าทั้งความคิด และการเคลื่อนไหว
7.รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า และรู้สึกผิดตลอดเวลา
8.ไม่มีสมาธิ หรือมีปัญหาด้านการคิด และการตัดสินใจ
9.มีความคิดอยากทำร้ายตัวเองตลอดเวลา
หากผู้ป่วยมีอาการเข้าข่ายอย่างน้อย 5 ข้อ จาก 9 ข้อที่กล่าวไปนั้นเป็นเวลานานอย่างน้อย 2 สัปดาห์ จึงจะวินิจฉัยเบื้องต้นได้ว่าผู้ป่วยกำลังอยู่ในสภาวะโรคซึมเศร้า
แบบทดสอบภาวะซึมเศร้า PHQ-9: https://forms.gle/yXqKNvP5wjcFW9898
โรคซึมเศร้าสามารถรักษาให้หายได้หรือไม่ ?
สามารถรักษาได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลาและความอดทนในขั้นตอนของการรักษา ซึ่งอาจกลับมาเป็นซ้ำได้หากไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
หากกินยาต้านซึมเศร้าบ่อยจะทำให้ติดหรือไม่ ?
จะไม่ทำให้ติด แต่ต้องพยายามหยุดการกินอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามคำแนะนำของแพทย์ ห้ามหยุดกินยาด้วยตัวเอง
หากสังเกตว่าตัวเองเข้าข่ายโรคซึมเศร้า ควรพบจิตแพทย์เมื่อไร ?
หากเริ่มสังเกตุอาการตัวเองมาเป็นระยะเวลามากกว่า 2 สัปดาห์ และเริ่มส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หรือมีความคิดทำร้ายตัวเองบ่อย ควรเข้าพบจิตแพทย์ทันที
โรคซึมเศร้ากับความเครียดต่างกันอย่างไร ?
ความเครียดเป็นอาการชั่วคราวต่อสถานการณ์ที่เจออยู่ ส่วนโรคซึมเศร้าเป็นภาวะของอาการที่เกิดขึ้นยาวนานและรุนแรงกว่า
โรคซึมเศร้า เป็นโรคที่สามารถรักษาได้ หากสังเกตุเห็นอาการของตัวเองหรือคนรอบข้าง อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือ เพราะการรักษาอาการตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว หากมีความคิดอยากทำร้ายตัวเอง ควรติดต่อสายด่วนสุขภาพจิตเบอร์ 1323 หรือเข้าพบจิตแพทย์ทันที
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
นักจิตวิทยา ที่ปรึกษาที่เป็นมากกว่า “ไลฟ์โค้ช”
อาการเครียดแบบนี้อยู่ขั้นไหนกันนะ