วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก
Q : วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ฉีดเพื่ออะไร
A : เพื่อป้องกันโรคทั้ง 3 โรค ได้แก่ คอตีบ ไอกรน และบาดทะยัก
Q : ใครบ้างที่ควรได้รับวัคซีน
A : ทุกช่วงวัยจำเป็นต้องได้รับวัคซีนกระตุ้นโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 19 ถึง 65 ปีขึ้นไป และหญิงตั้งครรภ์เพื่อป้องกันการติดเชื้อนี้ในทารก
Q : วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ฉีดกี่เข็ม
A : วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ฉีดเพียงแค่ 1 เข็ม และต้องฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี โดยจะต้องพบแพทย์ก่อนเข้ารับการฉีด
Q : ผู้ที่ตั้งครรภ์ฉีดได้หรือไม่
A : โรคทั้ง 3 ชนิดเป็นโรคที่สามารถติดต่อกันได้ ดังนั้นสตรีตั้งครรภ์ หรือสตรีที่กำลังเตรียมมีบุตร รวมถึงผู้ใหญ่ที่มีโอกาสใกล้ชิดกับทารกที่มีอายุต่ำกว่า 12 เดือน ควรฉีดวัคซีน 1 เข็มเพื่อช่วยป้องกันโรคไอกรนติดต่อสู่ทารก
แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์
Q : ทำไมต้องวัคซีนไข้หวัดใหญ่
A : เพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งจะสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ถึง 4 สายพันธุ์
Q : ใครบ้างที่ควรตรวจ
A : สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน และทุกช่วงวัยควรได้รับการฉีดกระตุ้นซ้ำ โดยแนะนำให้ฉีดทุกปี เนื่องจากเชื้อไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ทุกปี
Q : วัคซีนไข้หวัดใหญ่ฉีดกี่เข็ม ครอบคลุมได้นานเท่าไหร่
A : วัคซีน 1 เข็มสามารถป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้มากถึง 4 สายพันธุ์ และควรได้รับการฉีดปีละ 1 ครั้ง
Q : ระยะเวลาในการรับบริการ
A : สำหรับโปรแกรมนี้ ระยะเวลาในการเข้ารับบริการประมาณ 1 ชม.
Q : เพิ่งฉีดไปเมื่อปีที่แล้ว จำเป็นต้องฉีดซ้ำในปีนี้ด้วยหรือไม่
A : ภูมิคุ้มกันมักลดต่ำลงเรื่อย ๆ จึงจำเป็นต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่กระตุ้นภูมิคุ้มกันทุกปี เพื่อผลการป้องกันอย่างต่อเนื่อง
Q : อาการข้างเคียงของวัคซีนไข้หวัดใหญ่มีอะไรบ้าง
A : อาจมีอาการบวมแดงบริเวณที่ฉีด มีไข้ หรือปวดเมื่อย แต่อาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 1-2 วันหลังฉีดยา
Q : คนที่ไม่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
A : ผู้ที่ไม่ควรรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ เด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน คนที่มีประวัติแพ้ไก่ หรือไข่ไก่อย่างรุนแรง ผู้ที่เคยฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แล้วมีอาการแพ้อย่างรุนแรง และผู้ที่มีไข้ หรือไม่สบาย
แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง
วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ 13 สายพันธุ์
Q : ทำไมวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ 13 สายพันธุ์
A : เพื่อป้องกันการติดเชื้อปอดอักเสบ และติดเชื้อในกระแสเลือด
Q : ใครบ้างที่ควรเข้ารับการฉีด
A : ผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ควรได้รับการฉีดวัคซีน และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง โรคเบาหวาน หรือผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
Q : หากยังไม่เคยเข้ารับการฉีดวัคซีนปอดอักเสบเลย ต้องฉีดสายพันธุ์อะไรก่อน
A : แบ่งเป็น 3 กรณี คือ
1. ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน ควรฉีดวัคซีน 13 สายพันธุ์ก่อนแล้วจึงฉีด 23 สายพันธุ์ โดยมีระยะเวลาห่างกัน 6-12 เดือน
2. สำหรับผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป และเคยได้รับวัคซีน 23 สายพันธุ์มาแล้ว สามารถฉีด 13 สายพันธุ์ต่อ โดยมีระยะเวลาห่างกันอย่างน้อย 1 ปี
3. ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 65 ปี สำหรับผู้ที่เคยได้รับวัคซีน 23 สายพันธุ์มาแล้วให้ฉีด 13 สายพันธุ์ ห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 1 ปี และฉีด 23 สายพันธุ์ซ้ำอีกครั้งโดยห่างอย่างน้อย 6 เดือน และห่างจาก 23 สายพันธุ์ อย่างน้อย 5 ปี
Q : ฉีดร่วมกับวัคซีนตัวไหนได้บ้าง
A : หากต้องฉีดวัคซีนปอดอักเสบทั้ง 2 ชนิด คือ 13 สายพันธุ์ และ 23 สายพันธุ์ ห้ามฉีดวัคซีนทั้ง 2 ชนิดนี้พร้อมกัน หรือภายในวันเดียวกัน
Q : ทำไมราคาถึงต่างกัน
A : เพราะเป็นเชื้อคนละตัว ซึ่ง 13 สายพันธุ์เป็นตัวที่ต้องควรฉีดเข็มแรกก่อนจึงค่อยฉีด 23 สายพันธุ์ และสามารถฉีดได้ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ
Q : ระยะเวลาในการรับบริการ
A : สำหรับโปรแกรมนี้ ระยะเวลาในการเข้ารับบริการประมาณ 1 ชม.
แพคเกจที่เกี่ยวข้อง
วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ 23 สายพันธุ์
Q : ทำไมวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ 23 สายพันธุ์
A : เพื่อป้องกันการติดเชื้อปอดอักเสบ และการติดเชื้อในกระแสเลือด
Q : ใครบ้างที่ควรเข้ารับการฉีด
A : ผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ควรได้รับการฉีด และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง โรคเบาหวาน หรือผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
Q : หากยังไม่เคยเข้ารับการฉีดวัคซีนปอดอักเสบเลย ต้องฉีดสายพันธุ์ใดก่อน
A : แบ่งเป็น 3 กรณี
1. ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน ควรฉีดวัคซีน 13 สายพันธุ์ก่อนแล้วจึงฉีด 23 สายพันธุ์ โดยมีระยะเวลาห่างกัน 6-12 เดือน
2. สำหรับผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป และเคยได้รับวัคซีน 23 สายพันธุ์มาแล้ว สามารถฉีด 13 สายพันธุ์ต่อ โดยมีระยะเวลาห่างกันอย่างน้อย 1 ปี
3. ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 65 ปี สำหรับผู้ที่เคยได้รับวัคซีน 23 สายพันธุ์มาแล้วให้ฉีด 13 สายพันธุ์ ห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 1 ปี และฉีด 23 สายพันธุ์ซ้ำอีกครั้งโดยห่างอย่างน้อย 6 เดือน และห่างจาก 23 สายพันธุ์ อย่างน้อย 5 ปี
Q : สามารถฉีดร่วมกับวัคซีนตัวใดได้บ้าง
A : หากต้องฉีดวัคซีนปอดอักเสบทั้ง 2 ชนิด คือ 13 สายพันธุ์ และ 23 สายพันธุ์ห้ามฉีดวัคซีนทั้ง 2 ชนิดนี้พร้อมกัน หรือภายในวันเดียวกัน
Q : ทำไมราคาถึงต่างกัน
A : เพราะเป็นเชื้อคนละตัวกันซึ่ง 13 สายพันธุ์เป็นตัวที่ต้องควรฉีดเข็มแรกก่อนจึงค่อยฉีด 23 สายพันธุ์และสามารถฉีดได้ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ
Q : ระยะเวลาในการรับบริการ
A : สำหรับโปรแกรมนี้ ระยะเวลาในการเข้ารับบริการประมาณ 1 ชม.
แพคเกจที่เกี่ยวข้อง
วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
Q : โปรแกรมวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ฉีดได้เลยหรือไม่
A : หากผู้รับบริการยังไม่เคยตรวจหาภูมิ และเชื้อไวรัสตับอักเสบบี แพทย์จะแนะนำให้ตรวจหาผลก่อน หากไม่พบภูมิและเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จึงค่อยรับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี และหากผู้บริการมีผลการตรวจเลือดเดิมอยู่แล้ว และพบว่าไม่มีเชื้อและภูมิ สามารถนำมาแสดงกับเจ้าหน้าที่พยาบาล เพื่อเข้ารับการฉีดได้เลย
Q : ฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ฉีดกี่เข็ม
A : ฉีดทั้งหมด 3 เข็ม โดยแนะนำให้ฉีด 3 เข็ม ที่ 0, 1 และ 6 ตามลำดับ
Q : ใครบ้างที่ควรได้รับวัคซีน
A : ผู้ที่เคยได้รับการตรวจคัดกรอง หรือผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน รวมทั้งผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ B ผู้ที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ผู้ที่ครอบครัวมีประวัติการติดเชื้อ เป็นต้น
Q : ระยะเวลาในการรับบริการ
A : สำหรับโปรแกรมนี้ ระยะเวลาในการเข้ารับบริการประมาณ 1 ชม.
วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ
Q : โปรแกรมวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ ฉีดได้เลยหรือไม่
A : หากผู้รับบริการยังไม่เคยตรวจหาภูมิและเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ แพทย์จะแนะนำให้ตรวจหาผลก่อน หากไม่พบภูมิและเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ จึงค่อยรับวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ หากผู้บริการมีผลการตรวจเลือดเดิมอยู่แล้ว และพบว่าไม่มีเชื้อและภูมิ สามารถนำมาแสดงกับเจ้าหน้าที่พยาบาล เพื่อเข้ารับการฉีดได้เลย
Q : ฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอฉีดกี่เข็ม
A : เข็มแรกเข้ารับบริการวันที่นัดหมาย เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 6-12 เดือน
Q : ใครบ้างที่ควรได้รับวัคซีน
A : ผู้ที่เคยได้รับการตรวจคัดกรอง หรือผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน รวมทั้งผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ A ผู้ที่รับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เป็นประจำ และผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อ เป็นต้น
Q : ระยะเวลาในการรับบริการ
A : สำหรับโปรแกรมนี้ ระยะเวลาในการเข้ารับบริการประมาณ 1 ชม.
วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก HPV
Q : ทำไมต้องฉีดวัคซีน HPV
A : การฉีดวัคซีน HPV เป็นการป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV ซึ่งสามารถติดต่อกันได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ตรวจพบว่าทำให้เกิดโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์โรคมะเร็ง รวมไปถึงหูดตามผิวหนัง ไวรัสตัวนี้ทำให้เกิดมะเร็งอวัยวะเพศ และมะเร็งทวารหนักในผู้ชายได้เช่นกัน
Q : ใครบ้างที่ควรฉีด
A : วัคซีนชนิดนี้ฉีดได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง ในเพศหญิงสามารถฉีดได้ทุกช่วงอายุ ฉีดได้ทั้งในผู้ที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว หรือยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์
Q : ฉีดวัคซีน HPV ฉีดกี่เข็ม
A : การฉีดวัคซีน HPV ต้องฉีดให้ครบถ้วนทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 : ฉีดในวันที่กำหนดเลือก ครั้งที่ 2 : ฉีดหลังจากเข็มแรก 2 เดือน ครั้งที่ 3 : ฉีดหลังจากเข็มแรก 6 เดือน
Q : ระยะเวลาในการรับบริการ
A : สำหรับโปรแกรมนี้ ระยะเวลาในการเข้ารับบริการประมาณ 1-2 ชม
Q : เข้ารับบริการที่ใด และเวลาใด
A : สามารถเข้ารับบริการได้ที่ Premium Clinic ชั้น 16 อาคาร A
Q : วัคซีนที่ฉีดเข้าสู่ร่างกาย จะสามารถมีประสิทธิภาพยาวนานเท่าใด
A : ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ 3 เข็มจะมีภูมิคุ้มกันมากกว่า 10 ปี
Q : การเตรียมตัวก่อนที่จะเข้ามารับวัคซีน
A : ผู้ที่ต้องการเข้ารับบริการวัคซีน HPV ต้องหมดประจำเดือนไปแล้วอย่างน้อย 1 สัปดาห์ และผู้ที่มีไข้กรุณาหลีกเลี่ยงการเข้ารับวัคซีน
Q : ผู้ชายสามารถฉีดวัคซีน HPV ได้หรือไม่
A : ผู้ชายสามารถฉีดวัคซีน HPV ได้ เพื่อเป็นการป้องกันโรคหูดหงอนไก่และมะเร็งทวารหนัก โดยเน้นให้ฉีดในช่วงอายุ 11-12 ปี
Q : เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว ฉีดวัคซีนได้หรือไม่
A : สามารถฉีดได้ แต่ควรตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกก่อนว่าได้รับเชื้อมาแล้วหรือไม่ ถ้ายังไม่ได้รับเชื้อสามารถฉีดได้เลย แต่ถ้าได้รับเชื้อไวรัส HPV มาแล้ว ควรเข้ารับการรักษาก่อน
แพคเกจที่เกี่ยวข้อง