หลายคนอาจเคยพบปัญหา “หูอื้อ” หลังขึ้นเครื่องบิน หรือหลังฟังเสียงดังเป็นเวลานาน ซึ่งมักจะหายได้เองในเวลาไม่นาน แต่ในบางกรณี หากอาการหูอื้อเกิดขึ้นบ่อย หรือไม่หายแม้ผ่านไปหลายวัน อาจเป็นสัญญาณของปัญหาการได้ยินหรือโรคเกี่ยวกับหู ที่ควรได้รับการตรวจโดยแพทย์เฉพาะทาง เพราะหากปล่อยไว้ อาจส่งผลกระทบต่อการได้ยินอย่างถาวรได้

“หูอื้อ” (Tinnitus) หมายถึง ภาวะที่ผู้ป่วยรู้สึกได้ยินเสียงในหู เช่น เสียงวิ้ง เสียงหึ่ง หรือเสียงคล้ายจักจั่น เป็นต้น ทั้งที่ไม่มีเสียงจริงอยู่รอบตัว ซึ่งอาจเกิดขึ้นในหูข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง และมีระดับความดังต่างกัน บางคนอาจรู้สึกรำคาญจนมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อาการหูอื้อสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งบางกรณีอาจสัมพันธ์กับโรคทางหูหรือระบบประสาทที่ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทาง
หูอื้อจากปัญหาการอุดกั้นของสัญญาณเสียง
เกิดจากสิ่งกีดขวางในช่องหู เช่น
ขี้หูอุดตัน
การติดเชื้อในหูชั้นกลาง
ภาวะน้ำในหูจากหวัดหรือภูมิแพ้
หูอื้อจากความผิดปกติของหูชั้นใน
พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ได้รับเสียงดังเป็นเวลานาน เช่น คนที่ทำงานในโรงงานหรือใช้หูฟังเสียงดัง นอกจากนี้ยังสามารถเกิดจากปัจจัยอื่นได้ เช่น
การติดเชื้อไวรัสที่กระทบต่อเส้นประสาทหู
ยาบางชนิดที่มีผลข้างเคียงต่อระบบประสาทหู
ภาวะน้ำในหูไม่เท่ากัน
หูอื้อจากสาเหตุอื่น
.jpg)
ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ
ภาวะซีด หรือโรคต่อมไทรอยด์
การบาดเจ็บที่ศีรษะหรือหู
หูอื้อข้างเดียวร่วมกับอาการเวียนศีรษะหรือการได้ยินลดลง
หูอื้อหลังสัมผัสกับเสียงดังอย่างเฉียบพลัน
มีเสียงดังในหูต่อเนื่องนานเกิน 1 สัปดาห์
รู้สึกแน่น เจ็บ หรือมีน้ำไหลออกจากหู
ได้ยินเสียงชีพจรเต้นในหู

การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ เช่น
ขี้หูอุดตัน แพทย์จะใช้เครื่องมือเพื่อดูดขี้หูออก
หูชั้นกลางอักเสบ ให้ยาปฏิชีวนะและยาลดอาการบวม
หูอื้อจากเสียงดัง แนะนำให้พักการใช้หูและหลีกเลี่ยงเสียงรบกวน
ประสาทหูเสื่อมเฉียบพลัน ต้องรีบพบแพทย์เพื่อรับยาสเตียรอยด์ภายใน 72 ชั่วโมง
หูอื้อจากความเครียด ต้องใช้วิธีผ่อนคลาย เช่น นอนพักผ่อนให้เพียงพอ หากิจกรรมนันทนาการทำ ออกกำลังกาย เป็นต้น
หากเกิดจากโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูงหรือเบาหวาน ต้องควบคุมโรคให้ดีเพื่อลดผลกระทบต่อการได้ยิน
หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่เสียงดัง
ผู้ประกอบอาชีพที่อยู่ในพื้นที่เสียงดัง ควรสวมหูฟังป้องกันตลอดเวลา
ไม่ควรแคะหูด้วยตัวเอง หากจำเป็นต้องแคะด้วยความระมัดระวัง
.jpg)
รักษาสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ
ดื่มน้ำมาก ๆ และลดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์
หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง ควรควบคุมให้อยู่ในระดับปกติ
หูอื้ออาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ในความจริงแล้วอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติที่ซ่อนอยู่ หากอาการไม่หายภายในไม่กี่วัน หรือเกิดซ้ำบ่อย ควรรีบเข้าพบแพทย์เฉพาะทาง เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง ป้องกันความเสี่ยงของการสูญเสียการได้ยินในอนาคต
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
น้ำเข้าหู นำไปสู่หูชั้นนอกอักเสบได้