Petcharavejhospital.com
Health promotion
Without extra charge

More

More
Doctor
Dr.CHAIYASIT SURIYANUSORN
Internal Medicine Clinic
Doctor profile
Dr.PEAR SUBSAMROUY
Obstetrics and Gynecologist Clinic
Doctor profile
Dr.PHUWASIT TRIJAKSUNG
Surgery Center
Doctor profile
Dr.UTAIN BOONORANA
Neuroscience Center
Doctor profile

More
Health articles
กลิ่นปาก สัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพช่องปาก
  เคยมีปัญหาเกี่ยวกับบทสนทนาระหว่างคุณ และคู่สนทนาหรือไม่ ปัญหาไม่ได้เกี่ยวกับคำพูด, บทสนทนา หรือการกระทำ แต่เป็นกลิ่น และลมหายใจที่ลอยออกมาแล้วแตะที่จมูกของคุณ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์อย่างมาก แต่ไม่ใช่จะเกิดขึ้นกับบุคคลอื่นเพียงอย่างเดียว คุณเองอาจเคยรู้สึกว่าตนเองมีกลิ่นปากเช่นกัน มาดูกันดีกว่าว่ากลิ่นปากเกิดขึ้นได้อย่างไร และจะมีวิธีการแก้ไขแบบใดบ้างมาดูกัน     กลิ่นปากเกิดจากสาเหตุใด   สาเหตุของกลิ่นปาก สามารถเกิดได้จากทั้งภายใน และภายนอกช่องปาก ดังนี้     ภายในช่องปาก     ฟันผุ    เนื่องจากมีเศษอาหารสะสมอยู่ในรูฟัน, เกิดหนองขึ้นที่ปลายราก หรือฟันที่ทะลุโพรงประสาท เป็นต้น ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากฟันผุ     แผลภายในช่องปาก    เช่น ร้อนใน, แผลที่เกิดจากการผ่าตัดในช่องปาก และหลังการถอนฟัน     ผู้ที่ใส่เครื่องมือรักษาฟันภายในช่องปาก         ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือกันฟันล้ม, เครื่องมือจัดฟัน แล้วผู้ป่วยมีการรักษาความสะอาดไม่ดี และไม่ทั่วถึง อาจทำให้เป็นสาเหตุของการมีกลิ่นปากได้      โรคปริทันต์ หรือเหงือกอักเสบ    เพราะมีหินปูนกับคราบจุลินทรีย์สะสมภายในช่องปากเป็นจำนวนมาก     ลิ้น    บริเวณโคนลิ้นด้านในสุด จะมีน้ำเมือกในช่องจมูกไหลลงไปที่บริเวณคอ ซึ่งสาเหตุอาจจะมาจากอาการภูมิแพ้ได้ โดยในช่วงแรกจะไม่ทำให้เกิดกลิ่นปาก แต่เมื่อผ่านไปเป็นระยะเวลา 2-3 วัน แบคทีเรียที่อยู่ในช่องปากจะย่อยน้ำเมือก และทำให้เกิดกลิ่นปากขึ้นมาได้     น้ำลาย   หากภายในช่องปากมีน้ำลายหลั่งออกมาเยอะ ช่องปากของบุคคลนั้นจะสะอาดกว่าบุคคลที่มีน้ำลายหลั่งออกมาน้อย เพราะโดยปกติแล้วน้ำลายจะเป็นตัวช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกภายในช่องปากออก และลดการเน่าบูดของอาหารที่อาจทำให้เกิดกลิ่นปากขึ้นมาได้ แต่บางครั้งที่ผู้ป่วยนอนหลับ, ดื่มน้ำไม่เพียงพอ, อากาศร้อน หรือใช้เสียงมาก อาจจะส่งผลให้น้ำลายหลั่งออกมาได้น้อย และทำให้มีกลิ่นปากเช่นกัน อาจเรียกเป็นคำปกติ คือ น้ำลายบูด     ภายนอกช่องปาก     การรับประทานอาหาร   อาหารบางชนิด เช่น เครื่องเทศ, กระเทียม, สะตอ, หัวหอม หรือการดื่มแอลกอฮอล์ อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดกลิ่นปากขึ้นได้ แต่โดยปกติแล้วอาหารจำพวกนี้หากถูกย่อยซึม และมีการขับถ่ายออกมา กลิ่นปากอาจจะหายไปเอง   การสูบบุหรี่         บุหรี่นอกจากจะเป็นอันตราย และมลพิษให้บุคคลรอบข้างแล้ว ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้สูบอาจเกิดโรคปริทันต์ที่รุนแรงขึ้นได้อีกด้วย ส่วนกลิ่นของบุหรี่ที่ตกค้างอยู่ภายในช่องปาก และไปผสมกับกลิ่นอื่น จะส่งผลให้มีกลิ่นปากเฉพาะของผู้ที่สูบบุหรี่ขึ้นได้     โรคที่อาจก่อให้เกิดกลิ่นปาก   โรคระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ทอนซิลอักเสบ, นิ่วในต่อมทอนซิล, ไซนัสอักเสบ และมะเร็งที่โพรงจมูก    โรคระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น วัณโรค หรือมะเร็งปอด, โรคปอดเรื้อรัง เป็นต้น     จะทราบได้อย่างไรว่ามีกลิ่นปาก   ผู้ป่วยสามารถทดสอบกลิ่นปากของตนเองได้ โดยการนำมือปิดปาก และจมูก จากนั้นให้เป่าลมแรง ๆ ออกจากช่องปาก และให้ทำการดม หรืออาจจะใช้วิธีการถามบุคคลใกล้ชิดได้     การรักษากลิ่นปาก         ทันตแพทย์จะรักษาตามสาเหตุของการทำให้เกิดกลิ่นปาก เช่น รักษาโรคปริทันต์ หรือเหงือกอักเสบ, อุดฟันผุ จากนั้นจะทำการแนะนำวิธีการทำความสะอาดเครื่องมือที่ใช้ภายในช่องปาก ถ้าหากพบว่าสาเหตุไม่ได้เกิดจากภายในช่องปาก ทันตแพทย์อาจแนะนำให้พบแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจหาสาเหตุของกลิ่นเพิ่มเติม หากผู้ป่วยใช้สเปรย์ และน้ำยาบ้วนปากที่ช่วยดับกลิ่น อาจทำให้กลิ่นปากลดลงเพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้เป็นตัวช่วยให้กำจัดสาเหตุหลัก ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เพราะอาจทำให้เกิดเชื้อราในช่องปากได้     การป้องกันกลิ่นปาก   พยายามอย่าให้ปากแห้ง การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน จะช่วยลดความเข้มข้นของแบคทีเรีย และช่วยให้กลิ่นปากเบาบางลง         ดูแลความสะอาดภายในช่องปาก โดยแปรงฟัน และลิ้นให้ทั่วถึง ควรใช้ไหมขัดฟันควบคู่ด้วยได้   หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ก่อให้เกิดกลิ่นปากขึ้น    เลิกสูบบุหรี่ นอกจากจะดีต่อสุขภาพแล้ว ยังช่วยลดอัตราการเกิดโรคปริทันต์ที่รุนแรงได้   เข้าพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ      ทุกท่านควรหันมาดูแลสุขภาพของช่องปากกันให้มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อไม่ให้เกิดโรค หรืออาการแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น ควรเข้าพบทันตแพทย์สม่ำเสมอ เพื่อเป็นการตรวจเช็ค และป้องกันปัญหาภายในช่องปากอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้   เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง   แผนกทันตกรรม   โรคฟัน และโรคในช่องปากสำหรับผู้สูงอายุ   ป้องกันรากฟัน ด้วยการอุดฟัน   ปริทันต์อักเสบ โรคอันตรายที่เกิดขึ้นภายในช่องปาก
Read more
ระวังปอดอักเสบ โรคที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
  โดยปกติแล้ว มนุษย์เราจะหายใจประมาณ 14-20 ครั้ง/นาที อากาศที่หายใจเข้าไป เราจะแน่ใจได้หรือไม่ ว่าจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเรา เพราะปอดเป็นอวัยวะที่สำคัญอย่างมากในร่างกายของมนุษย์ และยังเป็นอวัยวะที่เสี่ยงต่อการรับเชื้อโรคมากที่สุด โดยโรคในปอดที่พบได้บ่อยคงหนีไม่พ้น โรคปอดอักเสบ หรือปอดบวม     โรคปอดอักเสบคืออะไร    โรคปอดอักเสบ (Pneumonitis) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ปอดบวม เป็นโรคของการอักเสบในเนื้อปอด ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจ มักพบในเด็กเล็ก, ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีความต้านทานต่ำ     ระยะการฟักตัวของโรคปอดอักเสบ   อยู่ที่ชนิดของเชื้อ และภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย อาจเกิดขึ้นในระยะเวลาเพียง 1-3 วัน หรืออาจจะนานถึง 1-4 สัปดาห์ อาจเป็นไปได้     สาเหตุของโรคปอดอักเสบ   ปอดอักเสบสามารถเกิดได้ 2 สาเหตุ ดังนี้     ปอดอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ         เกิดจากผู้ที่มีการหายใจเอาสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ เช่น สารเคมีที่ระเหยได้, ฝุ่น หรือควันที่ก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบเข้าสู่ร่างกาย เป็นต้น     ปอดอักเสบจากการติดเชื้อ    เกิดจากการอักเสบของถุงลมปอด และเนื้อเยื่อโดยรอบ ได้แก่ เชื้อไวรัส, เชื้อราจากมูลสัตว์ และแบคทีเรีย ซึ่งจะแตกต่างกันไป ในแต่ละช่วงอายุ และสภาพแวดล้อมรอบตัว เป็นต้น     อาการโรคปอดอักเสบ   อาการของโรคปอดอักเสบจะคล้ายคลึงกับการป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่จะมีความแตกต่างกัน ดังนี้         มีอาการไอ, เสมหะ, มีไข้ และหนาวสั่น   ผู้ป่วยจะมีอาการหอบหายใจเร็ว และอาจได้ยินเสียงดังกรอบแกรบจากปอด   มีอาการเจ็บหน้าอกขณะหายใจ   ในเด็กเล็กกับผู้สูงอายุ อาจมีอาการซึม และมีอุณหภูมิร่างกายที่ผิดปกติ   ในเด็กเล็กอาจมีอาการไม่ดูดนม หรือน้ำ, ท้องอืด และอาเจียนได้     ปัจจัยเสี่ยงของโรคปอดอักเสบ   การรับเชื้อของโรคปอดอักเสบ มีอยู่หลายวิธี เช่น    เมื่อมีการไอ หรือจาม อาจมีการหายใจเอาเชื้อในรูปแบบละอองฝอยขนาดเล็ก ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศเข้าสู่ปอด   ผู้ป่วยอาจติดเชื้อจากอวัยวะอื่นมาก่อน จากนั้นจึงมีการแพร่กระจายเชื้อตามกระแสเลือด    มีการลุกลามของเชื้อที่บริเวณอวัยวะข้างเคียงปอด เช่น ฝีในตับมีการแตก และเข้าสู่เนื้อปอด เป็นต้น   ผู้ป่วยมีการสำลักเชื้อที่สะสมอยู่บริเวณทางเดินหายในส่วนบนลงสู่ปอด เช่น สารคัดหลั่ง, อาหาร หรือน้ำลาย กรณีนี้สามารถพบได้ในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และผู้สูงอายุ   โดยโรคปอดอักเสบมักจะพบได้ในเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปีกับผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป และยังสามารถพบได้ในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง ดังนี้    ผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ, หอบหืด, เบาหวาน หรือปอดอุดกั้นเรื้อรัง   ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือต่ำ เช่น ผู้สูงอายุ, ผู้ป่วยโรคเอดส์กับผู้ติดเชื้อ HIV และผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นต้น         ผู้ที่มีประวัติการสูบบุหรี่ หรือการดื่มสุราเรื้อรัง     การวินิจฉัยโรคปอดอักเสบ   ตรวจออกซิเจน เพื่อดูการทำงานของปอดในการลำเลียงออกซิเจนเข้าสู่กระแสเลือด   ตรวจเม็ดเลือดขาว เพื่อดูว่ามีการติดเชื้อหรือไม่    ตรวจเพาะเชื้อจากเลือด และเสมหะ เพื่อหาชนิดของโรค     การรักษาโรคปอดอักเสบ   การรักษาอาการจำเพาะ    พิจารณาให้ยาขยายหลอดลมในกรณีที่ผู้ป่วยมีเสียงดังที่ปอด ให้ยาขับเสมหะกับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ให้น้ำ และอาหารอย่างเพียงพอ ในกรณีที่ผู้ป่วยรับประทานอาหารไม่ได้ แพทย์จะพิจารณาให้อาหารทางสายยาง เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยเกิดภาวะขาดสารอาหาร นอกจากนี้ยังมีการบำบัดทรวงอก เพื่อช่วยขับเอาเสมหะออกจากปอดได้ดีขึ้น     การรักษาทั่วไป   กรณีที่เกิดจากเชื้อไวรัส แพทย์จะรักษาแบบประคับประคอง โดยบำบัดทางระบบหายใจ เพราะไม่มียารักษา ส่วนในกรณีที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะใช้ยาปฏิชีวนะ โดยจะเลือกใช้ยารักษาตามเชื้อที่ผู้ป่วยได้รับ     วัคซีนปอดอักเสบ    การป้องกันโรคปอดอักเสบที่ดีที่สุด คือ การฉีดวัคซีน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก และผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เพราะเป็นผู้ที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำ โดยวัคซีนป้องกันปอดอักเสบจะมี 2 ชนิด คือ ชนิด 13 สายพันธุ์ และ 23 สายพันธุ์ ควรฉีดห่างกันอย่างน้อย 2 เดือนจะทำให้สามารถป้องกันเชื้อปอดอักเสบได้นานถึง 5 ปี     การปฏิบัติตัวเพื่อหลีกเลี่ยงโรคปอดอักเสบ   ดูแลสุขอนามัยสม่ำเสมอ เช่น การล้างมือเป็นประจำเมื่อมีการสัมผัสสิ่งของในที่สาธารณะ   หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด         การออกกำลังกายสม่ำเสมอ, รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นวิธีการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงแบบเบื้องต้นได้   งดสูบบุหรี่ และดื่มสุรา เพราะบุหรี่จะทำลายกระบวนการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ส่วนสุราอาจทำให้สำลักเชื้อโรคเข้าสู่ปอดได้     โรคปอดอักเสบเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจจึงมีความอันตรายถึงชีวิต ดังนั้น เราจึงควรฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไว้ก่อน เพื่อให้ร่างกายห่างไกลจากโรคร้ายที่อาจพรากชีวิตคุณ และคนที่คุณรัก หากมีท่านใดที่สงสัย หรือมีอาการเข้าข่ายโรคปอดอักเสบ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย และดำเนินการรักษาต่อไป   เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง   ศูนย์ตรวจสุขภาพ   วัคซีนป้องกันปอดอักเสบ+วัคซีนไข้หวัดใหญ่   ปอดอักเสบในเด็ก ภัยร้ายที่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ
Read more
24
Emergency Service 24 Hours
58
IPD : Day
1500
Counter IPD/OPD : Month
46
Years of caring